วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

 

ความหมายของแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท

   ในพุทธปรัชญาเถรวาท ธุระ คือ หน้าที่การงานที่พึงกระทำ กิจในพระพุทธศาสนา     ธุระ  มี 2 อย่าง คือ 1. คันถธุระ 2. วิปัสสนา คันถธุระ คือการศึกษาซึ่งเป็นการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ คือพระธรรมวินัย ปัจจุบันเรียกว่าพระไตรปิฎก ประกอบด้วย 3 ปิฎกคือ 1. วินัยปิฎก 2. สุตตันตปิฎก 3. อภิธรรมปิฎก เมื่อกล่าวถึงเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทแล้วการศึกษานั้นมีความหมายตรงกับหลักไตรสิกขา คือการศึกษา 3 ด้าน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการศึกษาพระไตรปิฎกนั่นเองการศึกษาพระไตรปิฎกถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่บรรจุหลักธรรมคำสอนของ           พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครบ 84,000 พระธรรมขันธ์ ดังนั้นพุทธบริษัท จึงมีหน้าที่ในการศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎก ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ สามารถทรงจำไว้ได้ เพื่อประโยชน์ในการนำไปประพฤติปฏิบัติเป็นบาททางในการเจริญสติภาวนาต่อไป พระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกถือว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเพราะทรงให้พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ หากพุทธบริษัท 4 ละเลยธุระไม่ศึกษาเล่าเรียนและทรงจำไว้ ก็ไม่อาจรู้หลักสัจธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ การศึกษาพระไตรปิฎกจึงเป็น กิจ หน้าที่ของพุทธบริษัท ทั้งหลายไม่ใช้เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรฝ่ายเดียว แต่เป็นกิจ หน้าที่ของพุทธบริษัท ทุกหมู่เหล่าในการศึกษาเพื่อทรงจำสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้ครบ 5,000 ปี วิปัสสนาธุระ คือกิจด้านการปฏิบัติ กล่าวคือเมื่อศึกษาหลักธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกแล้วทรงจำไว้ ตามกำลังสติปัญญาความสามารถของตนแล้วก็นำความรู้ที่ศึกษามาลงมือปฏิบัติ ธุระด้านวิปัสสนานี้มี 2 อย่าง คือ สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน ธุระ ด้านนี้มุ่งปฏิบัติเพื่อผลสองอย่าง คือ สมถกรรมฐานเป็นอุบายสงบใจให้เป็นสมาธิอยู่ในอารมณ์เดียว วิปัสสนากรรมฐาน คือ อุบายเรืองปัญญา ให้รู้เห็นความจริงตามความเป็นจริงคือพระไตรลักษณ์

            1 ความหมายของธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท
   คำว่า “ธุระ” ได้มีผู้รู้หลายท่านทางพระพุทธศาสนาได้ให้ความหมายไว้หลายทัศนะด้วยกัน และมีมุมมองในการพิจารณาถึงความหมายของคำว่า “ธุระ” ที่น่าสนใจ ดังนี้คือ
 ธุระ หมายถึง หน้าที่การงาน ที่พึงกระทำ, กิจในพระศาสนา มี 2 อย่างคือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ งานคันถธุระ หมายถึง งานด้านการเล่าเรียน, งานเกี่ยวกับคัมภีร์หรือตำรา โดยรวม คืองานเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์อันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยการเล่าเรียนพระพุทธพจน์บทใดบทหนึ่ง หรือพระไตรปิฎกทั้งหมดตามความสามารถแห่งสติปัญญาของตน แล้วท่องบ่น ทรงจำ สอนกันบอกกันต่อ ๆ ไป เพื่อรักษาพระพุทธพจน์ไว้ รวมถึงการแนะนำสั่งสอน เผยแผ่พระพุทธพจน์แก่บุคคลทั่วไป ตลอดทั้งการจัดทำและการรักษาตำราและคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไว้ด้วย วิปัสสนาธุระ คืองานที่มุ่งอบรมปัญญาให้เกิดโดยการปล่อยวางภาระทั้งปวง ทำกายใจให้เบา ยินดีในเสนาสนะที่เงียบสงบ พิจารณาถึงความเสื่อมไปสิ้นไปในสังขารร่างกายจนเห็นสามัญลักษณะตามความเป็นจริงคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ชัดเจน เจริญอบรมวิปัสสนาต่อเนื่องไปไม่ขาดสายจนถึงหลักชัยคือคว้าอรหัตผลได้ สิกขาหรือไตรสิกขานั้นท่านหมายเอาการศึกษาอันยิ่ง เช่นสิกขาในอธิศีล เป็นต้น  การศึกษาหรือสิกขาเป็นกิจ เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท ทุกหมู่เหล่าที่ต้องศึกษาพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎกเพื่อทรงจำไว้สืบต่อและนำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หากพุทธบริษัท ทั้งหลายไม่สนใจศึกษาทรงจำไว้ก็ไม่อาจนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องได้ สิกขาทั้ง 3 มีการอิงอาศัยกันไม่สามารถทรงจำหรือเลือกประพฤติอย่างใดอย่างหนึ่งได้เลย เพราะสิกขาทั้ง 3 นี้มีการอิงอาศัยกันกล่าวคืออธิสีลสิกขาเป็นบาททางดำเนินอธิจิตตสิกขา อธิสีลสิกขาและอธิจิตตสิกขาเป็นบาททางดำเนินอธิปัญญา นอกจากนี้แล้วประพฤติปฏิบัติในอิทรย์สังวร คือการสำรวมในการ ดู ในการฟัง ในการรับรู้กลิ่น ใสการลิ้มรส และในการสัมผัสถูกต้อง สันโดษ คือการรู้จักประมาณ ในการบริโภค และอุปโภค ให้พอดี พอใช้ตามความจำเป็น เป็นต้น (พระธรรมกิตติวงศ์, (2551, หน้า 1292)
สิกขาหรือไตรสิกของอุบาสก อุบาสิกา คือในหมวดสีลสิกขา ก็คือ ศึกษาเบจศีล
เบจธรรม อุโบสถศีล มรรคมีองค์ 8 สิกขาของสามเณร ด้านสีลสิกขา ทศศีล มรรคมีองค์ 8 สิกขาด้านสีลสิกขาของพระภิกษุก็ศีลปาติโมกข์และนอกปาฏิโมกข์ พระภิกษุณีก็เช่นเดียวกับพระภิกษุ
สิกขาหรือไตรสิกขา ด้านอธิจิตตสิกขา อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ย่อมศึกษาในสมถกรรมฐาน  เช่นเดียวกัน  เพราะสมถกรรมฐานนั้นมีทั้งที่ปฏิบัติได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ และไม่พึงอุปกรณ์ ก็มีจึงเหมาะสำหรับพุทธบริษัท ทุกหมู่เหล่า ซึ่งในสมถกรรมฐานมีอารมณ์ หรืออุบายสงบจิตให้อยู่ในอารมณ์ที่ใช้เพ่ง หรือบริกรรม ภาวนา อยู่ 40 กองคือกสิน 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 อัปปมัญญา 4 อรูป 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา1 จตุธาตุวัตถาน 1 ให้เลือกตามจริตของตน อีกทั้งอารมณ์กรรมฐานในสมถกรรมฐานก็มีอารมณ์ที่เหมาะกับปฏิบัติได้ทุกสถานที่ เวลา และอริยบท ดังเช่น หมวดอานาปานสติกรรมฐาน เป็นต้น สิกขาด้านอธิปัญญาสิกขา นั้นได้แก่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คือการอบรมปัญญา  โดยการเพ่งพินิจพิจารนาสภาวธรรมให้เห็นตามความเป็นจริง สิกขาหรือไตรสิกขาเป็นกิจ หน้าที่ ของพุทธบริษัท ทุกหมู่เหล่า ศึกษาทรงจำไว้ นำมาปฏิบัติและบอกต่อหรือสืบต่อให้ชนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม เป็นการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา    ให้ยืนนานต่อไป กิจ หน้าที่ 3 ด้านนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะเป็นกิจ  หน้าที่โดยตรงของชาวพุทธ ในการรักษาพระศาสนาให้ยังยืนยาวนานสืบต่อไปยังชนรุ่นหลัง อีกทั้งยังเป็นแนวทางปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยเพื่อความพ้นทุกข์ทั้งปวงอีกด้วย สิกขาหรือไตรสิกขานั้นเป็นการศึกษาพระธรรมวินัยหรือพระไตรปิฎก ในพุทธปรัชญาเถรวาทกล่าวถึงพระผู้ยังศึกษาอยู่ว่าพระเสขะ     คือ ผู้ที่ยังไม่ได้มรรคผลสูงสุดหรือบรรลุเป็นพระอรหันต์ไว้ดังนี้ เสขะ แปลว่า ผู้ยังต้องศึกษาอยู่ คือยังต้องศึกษาไตรสิกขาคือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เพื่อบรรลุมรรคผลที่สูงขึ้นไปอีก เรียกเต็มว่า พระเสขะ หรือ เสขบุคคล เสขะ คือพระอริยบุคคลที่ยังไม่ได้บรรลุพระอรหัตผลหรือยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ได้แก่  พระโสดาบัน  พระสกทาคามี และพระอนาคามี หากได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นอันพ้นจากความเป็นเสขะ ได้ชื่อใหม่ว่า อเสขะ คำว่า เสขะ ความว่า เพราะเหตุไรจึงเรียกว่าเสขะ เพราะศึกษาจึงชื่อว่า เสขะ ศึกษาอะไร ศึกษาในอธิศีลบ้าง ศึกษาอธิจิตบ้าง  ศึกษาอธิปัญญาบ้าง สิกขา 3 เหล่านี้ภิกษุเมื่อนึกถึง   ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อรู้ ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อเห็น ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อพิจารณา ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อตั้งจิต ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อน้อมใจไปด้วยศรัทธา ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อประคองความเพียร ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อเข้าไปตั้งสติ ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อตั้งจิตไว้ ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญา ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อละธรรมที่ควรละ ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ก็ชื่อว่าศึกษา เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ ก็ชื่อว่าศึกษา คือย่อมประพฤติเอื้อเฟื้อ ย่อมประพฤติเอื้อเฟื้อด้วยดี ย่อมสมาทานศึกษา เพราะเหตุนั้น  จึงตรัสเรียกเสขะ
(ขุ.มหา., เล่ม 29, ข้อ 250, หน้า 684)
               ธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทหลังพุทธกาล ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา คือ เป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ กล่าวคือ เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ทั้งความเป็นจริงและข้อธรรมได้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ เช่น วิเคราะห์จิตได้ละเอียดลอออย่างน่าอัศจรรย์ใจ วิเคราะห์ธรรมะออกเป็นข้อ ๆ อย่างละเอียดสุขุมและประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบที่แน่นแฟ้น และหลังจากที่พระพุทธองค์      ได้เสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว ภิกษุสงฆ์ในยุคต่อ ๆ ก็ยังถือข้อวัตรปฏิบัติเช่นดังเดิม แม้จะมีการแตกแยกทางความคิดเห็นและแตกแขนงออกไปเป็นนิกายต่าง ๆ เช่น พุทธศาสนาของฝ่ายมหายาน ก็ตาม ซึ่งในที่นี้ จะมุ่งกล่าวเฉพาะเพียงประเด็นที่อยู่ในกรอบของงานวิจัยคือ ของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น โดยเริ่มหลังจากที่มีการปฐมสังคายนาเมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จดับขันปรินิพพานไปแล้วได้ 3 เดือน พระธรรมวินัยก็ได้ถูกรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อง่ายและสะดวกแก่การที่จะมาถกเถียงตีความกันในภายหลังว่าสิ่งใดเป็นธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้หรือไม่ แม้ในการทำสังคายนาในครั้งแรกจะมิได้แยกหมวดหมู่ออกเป็น 3 คัมภีร์ เช่นการทำสังคายนาในครั้งที่ 3 คือ มีทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก และมีการจดบันทึกไว้เป็นภาษาบาลีเช่นปัจจุบันนี้ก็ตาม แต่การทำสังคายนาในครั้งที่ 1    และ 2 ซึ่งเรียกว่า พระธรรมวินัย คือมีพระวินัย กับพระธรรมซึ่งรวมเอาพระพระสูตรหรือ           พระสุตตันตปิฎกไว้กับพระอภิธรรมด้วย ก็ยังถือว่าเป็นที่ยอมรับของคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ในขณะนั้นว่า มีความถูกต้องและเป็นพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสไว้จริง
(สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2535, หน้า 78)
               พระสงฆ์ไทยมีการศึกษาภาษาบาลีมาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกที่พระพุทธศาสนา เข้ามา เผยแผ่ในประเทศไทย มีหลักฐานปรากฏในสมัยทวารวดี มีหลักฐานการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีอย่างเป็นระบบในสมัยอยุธยา การศึกษาบาลีรุ่งเรืองยิ่งในสมัยล้านนา มีการแต่งคัมภีร์บาลีขึ้นมากมาย คัมภีร์ที่แต่งในครั้งนั้นยังใช้เป็นหลักสูตรในการเรียนการสอนพระ ปริยัติธรรม        ของคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันด้วย (สมควร สว่างวงศ์, 2547, หน้า 64)
               การศึกษาภาษาบาลีตั้งแต่สมัยสุโขทัยสืบมานั้น มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์ให้การสนับสนุนตลอดมา มีการอุทิศพระราชมณเฑียรเป็นที่เล่าเรียนศึกษาของพระสงฆ์ จนถึงแม้พระมหากษัตริย์ไทยบางพระองค์ ที่ทรงเป็นปราชญ์เชี่ยวชาญในภาษาบาลี สามารถลงบอกบาลี (สอน) แก่พระสงฆ์สามเณรด้วยพระองค์เองก็มีตลอดมาจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การศึกษาในพระปริยัติธรรมในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 4 เป็นการศึกษาพระไตรปิฎก และล้วนต้องใช้พระสงฆ์ที่เล่าเรียนรอบรู้ในภาษาบาลีเป็นสำคัญ เพราะว่าจุดประสงค์ของการศึกษาของพระสงฆ์ในยุคนั้นเน้นการศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งล้วนเป็นฉบับภาษาบาลี การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยที่มีผลต่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา การศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกธรรม และแผนกบาลีนอกจาก จะเป็นการศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอนแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาไว้อีกด้วย โดยเฉพาะการศึกษาภาษาบาลี เนื่องจากการศึกษาพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกนั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในภาษาบาลีเป็นหลัก ถ้าขาดความรู้เรื่องพระไตรปิฎกแล้ว พระพุทธศาสนาก็จะต้องเสื่อมสูญไปด้วย การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ยังนับได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนา ประกอบกับการเรียนภาษาบาลีเกี่ยวเนื่องกับการแปลศัพท์ วิเคราะห์ศัพท์ ตีความพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกตามไวยากรณ์ เป็นการรักษาหลักการเดิมหรือความหมายของพระพุทธวจนะตามที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก เป็นการป้องกันความคลาดเคลื่อน หรือปฏิรูปพระสัทธรรมได้ และการเรียนภาษาบาลีต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะและแรงจูงใจเป็นอย่างมาก ต้องมีศรัทธาในพระรัตนตรัย และความเชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการเรียนภาษาบาลีนั้น ก็คือ การเรียนหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั่นเอง เพราะต้องท่องต้องจำ ประกอบกับต้องมีความเข้าใจในหลักการของภาษาเป็นอย่างดี และมีความเชี่ยวชาญในหลักการของภาษาด้วย เช่นการเรียนตั้งแต่ชั้นประโยค 1-2 จนถึงประโยค ป.ธ. 9      ก็ใช้หลักการของภาษาบาลีหลักการเดียวกันทุกระดับชั้น ก็คือหลักการไวยากรณ์นั่นเอง   ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเรียนภาษาบาลี, วิชาแปลบาลีเป็นไทย, วิชาแปลไทยเป็นบาลี ส่วนเนื้อหาของการเรียนในแต่ละประโยคนั้นก็มีความยากขึ้นไปในแต่ละประโยค ยิ่งถ้าประโยคสูง ๆ ขึ้นไปก็ยิ่งมีความยากมาก ต้องหมั่นท่องจำและหัดแปลอยู่เสมอทั้งแปลบาลีเป็นไทย และแปลไทยเป็นบาลี จึงต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ในการที่จะเรียน จึงถือได้ว่า “การศึกษาภาษาบาลีช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพสูงขึ้นได้”ด้วยเหตุนี้เอง กษัตริย์ไทยทุกพระองค์ผู้เป็นศาสนูปถัมภกตั้งแต่โบราณมา จึงทรงทำนุบำรุงสนับสนุนการเล่าเรียนพระปริยัติธรรม และทรงยกย่องพระภิกษุสามเณรที่เรียนรู้พระพุทธวจนะ โดยได้พระราชทานราชูปการต่าง ๆ มีนิตยภัตร สมณศักดิ์ เป็นต้น การจัดสอบบาลีหรือการสอบสนามหลวงจัดว่าเป็นการวัดความรู้ชั้นสูงของคณะสงฆ์ ไทยโดยพระบรมราชูปถัมภ์ ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นได้ว่า การศึกษาของไทยแต่เดิมมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดกับวัง           มีประเพณีการบวชเรียน และใช้วัดเป็นแหล่งการศึกษา เพราะเหตุนี้เอง จึงมีการจัดการศึกษาให้กับคณะสงฆ์ที่อยู่ในวัด สอนทั้งวิชาหนังสือ และวิชาพระธรรมวินัย เดิมทีสถานที่ใช้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียน จะเป็นหอฉัน หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญ กุฏิ ซึ่งถือเป็นโรงเรียนใหญ่ เมื่อ     พระฉันภัตตาหารเสร็จ ก็เลี้ยงอาหารลูกศิษย์ หลังจากนั้นจึงใช้เป็นสถานที่สอนหนังสือ เรียนหนังสือต่อไป ส่วนหอสวดมนต์นั้นส่วนใหญ่พระจะใช้สวดมนต์เวลาค่ำ เวลากลางวันจึงใช้เป็นห้องเรียน เพื่อทำการเรียนการสอน นอกจากนี้ตามกุฏิและห้องของพระสงฆ์ยังใช้เป็นห้องเรียนขนาดย่อม สอนนักเรียนแห่งละ 2 ถึง 5 คนส่วนแนวทางในการปฏิบัติซึ่งถือว่าเป็นหน้าของพระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยนั้น ก็ถือตามแนวทางแบบอย่างของฝ่ายเถรวาทที่สังคมไทยในยุคก่อน ๆ ได้รับวัฒนธรรมประเพณีมาจากสังคมของอินเดียคือจัดระบบการศึกษาออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ด้านคันถธุระ และด้านวิปัสสนาธุระ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีการศึกษาในด้านปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ส่วนการปฏิบัติด้านวิปัสสนาธุระ นับแต่อดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะเป็นไปตามสำนักหรือสังกัดของภิกษุสงฆ์ที่ได้ไปอยู่จำพรรษา กล่าวคือ ความเข้มข้น ในการปฏิบัติด้านวิปัสสนากรรมฐานนั้นขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์ และอุปนิสัยโดยส่วนตัวของผู้ที่จะมุ่งแสวงหาแนวทางการปฏิบัติกับผู้ที่ตนให้ความเคารพศรัทธาในแต่ละยุคสมัย เช่น ในยุคสมัยของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หรือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงยุคหลัง ๆ ที่เป็นชั้นลูกศิษย์ ก็จะมีภิกษุที่มีความศรัทธาไปขอศึกษาเล่าเรียนวิปัสสนากรรมฐานด้วย เป็นต้น
(เริงฤทธิ์ พลนามอินทร์, 2546, หน้า 41)
              
            2 ประเภทของธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท
               ธุระในพระพุทธศาสนา มีธุระ 2 ประเภท คือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ เพราะประเภท หมายถึง ส่วนที่แบ่งย่อยออกไป ได้แก่ อย่าง, ชนิด, แบบ, หมู่, พวก, หมวด, จำพวก, เหล่า, แผนก, ฝ่าย, กลุ่ม และ ส่วน (วิรัช ถิรพันธุ์เมธี, 2540, หน้า 22)
                    2.1. คันถธุระ
               คันถธุระ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียนในพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ ซึ่งเมื่อครั้งในสมัยพุทธกาล การศึกษาเล่าเรียนยังไม่มีรูปแบบเช่นการเรียนการศึกษาในสมัยปัจจุบัน ต้องอาศัยการเรียนรู้ด้วยวิธีการท่องจำจากครูอาจารย์ของตน เรียกการเรียนรู้การต่อปากกันมา การบอกเล่าต่อ ๆ กันมาโดยมิได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “มุขปาฐะ” มุขปาฐะ เป็นวิธีการศึกษาการเรียนรู้แบบเก่า สมัยที่หนังสือหายาก จำต้องอาศัยการท่องบ่นทรงจำแบบปากเปล่าหรือแบบปากต่อปากเป็นพื้น แม้พระไตรปิฎกก็ทรงจำกันมาแบบมุขปาฐะนี้ โดยมีการสวดสาธยายพร้อม ๆ กัน เท่ากับสอบทานกันไปในตัว หรือบางครั้งอาจเรียกว่า “สังคีติ”     แม้ปัจจุบันการสวดมนต์ของพระในพิธีต่าง ๆ ก็สืบเนื่องมาจากแบบมุขปาฐะนี้
(พระธรรมโกศาจารย์, (ชอบ อนุจารีเถร)., 2542, หน้า 127)
               พระไตรปิฎกสันนิษฐานว่าน่าจะเรียกชื่อนี้มาตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ 1 เป็นต้นมา ในการสังคายนาครั้งที่ 5 ประมาณ 433 ปี คณะสงฆ์ชาวลังกาทวีปได้เล็งเห็นความเสื่อมของพระศาสนาและความเสื่อมของสัตว์ ได้ชักชวนกันทำสังคายนาร้อยกรอง และได้จารึกลงใบลาน จากนั้นเป็นต้นมาก็มีการจดบันทึก หรือจารึกเป็นตัวอักษรจนถึงปัจจุบันก็นิยมจารึกไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาและความถูกต้องตรงต่อพระสัทธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนตลอด  45 พรรษา (เฉลิมพล โสมอินทร์, 2546, หน้า 9-10) พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์หลักในการศึกษาถันธุระทั้ง 3 ด้าน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
   พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี ประกอบด้วย
               1. มหาวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบท (ศีล) ของพระภิกษุ 227 ข้อ คือ ปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 อนิยต 2 นิสัคคิยปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92 ปาฏิเทสนียะ 4 เสขิยวัตร 75 อธิกรณสมถะ 7 เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสิกขาบทในปาฏิโมกข์
   2. ภิกษุณีวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทของนางภิกษุณี หรือภิกษุณีปาฏิโมกข์ 311 สิกขาบท
   3. มหาวรรค เล่าเรื่องตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เสด็จออกไปประกาศพระศาสนา การประทานอุปสมบทแก่ผู้มาขอบวช พูดถึงการอุปสมบท อุโบสถ การจำพรรษา เครื่องหนัง เภสัช กฐิน จีวร นิคหกรรม การออกจากอาบัติ การระงับอธิกรณ์ การทะเลาะวิวาท และสามัคคี
   4. จุลวรรค ว่าด้วยการบัญญัติปลีกย่อย เรื่องเสนาสนะ สังฆเภท วัตรปฏิบัติต่างๆ     การงดสวดปาฏิโมกข์ เรื่องกำเนิดและพัฒนาการของภิกษุณีสงฆ์ ลงท้ายด้วยประวัติการสังคายนาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
   5. ปริวาร ประมวลเรื่องเบ็ดเตล็ด เกี่ยวกับสิกขาบทของภิกษุและภิกษุณี เป็นคู่มือศึกษาพระวินัยปิฎก นำเสนอโดยแต่งเป็นคำถามคำตอบเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
  พระสุตตันตปิฎก หรือเรียกสั้นๆว่า พระสูตร เป็นประมวลเทศนาของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงแก่บุคคลต่างชั้น ต่างวรรณ ตามโอกาสต่างๆแต่ละสูตร มีทั้งบทนำ เนื้อหาสาระพระเทศนา และบทสรุปว่าหลังจบพระเทศนาแล้วผู้ฟังได้รับผลอย่างไรบ้าง
   อภิธรรมปิฎก แสดงแต่เนื้อธรรมล้วนๆแท้ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล เหตุการณ์ สถานที่ใดๆทั้งสิ้น เมื่อยกหลักธรรมใดขึ้นมาอธิบายก็อธิบายโดยสิ้นเชิง คือแจกแจงให้ละเอียดทุกแง่     ทุกมุมครบถ้วนเต็มที่ตามหลักวิชาการ ให้จบไปเป็นเรื่องๆ พระไตรปิฎกจัดเป็นพระสัทธรรม 3 คือ ปริยัตติสัทธรรมที่ประมวลไว้ซึ่งนวังคสัตถุศาสน์ทั้งหมด เป็นปทัฏฐานให้เกิดปฏิบัติพระสัทธรรม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และนำไปสู่การบรรลุปฏิเวธสัทธรรม คือ มรรค ผลนิพพานในที่สุด
(เสฐิยรพงษ์ วรรณปก, 2543, หน้า 19-191)
ศีลในส่วนของปาฏิโมกข์สังวรนั้นเป็นข้อปฏิบัติควบคุมกาย วาจา ฝึกฝนกาย วาจา กีดกันกาย วาจา จากการกระทำชั่ว เช่น ควบคุมงดเว้นจากสิกขาบทที่ปรับโทษหนักถึงขาดจากความเป็นพระภิกษุ และโทษรองลงมา ศีลในส่วนนี้จัดเป็นพื้นฐานในการเจริญสมาธิให้สูงขึ้นไป            มีหลักฐานแสดงว่าสิกขาบทที่ทรงแสดงมานั้น มี 150 สิขาบท ดังปรากฏใน ปฐมสิกขาบทสูตร ทุติยสิกขาบทสูตร และตติยสิกขาบทสูตรว่า ภิกษุทั้งหลายสิกขาบททั้ง 150 ถ้วนที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษาอยู่ มาถึงว่าระที่จักแสดงเป็นข้อๆตามลำดับทุกกึ่งเดือน สิกขา 3 ประการคือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เป็นที่รวมของสิกขา 150 ทั้งหมด
ในสมัยปัจจุบันการสวดปาฏิโมกข์สวด 227 ข้อทุกกึ่งเดือนหรือ ทุกๆ 15 วัน นั้นเองในสมัยพุทธกาลมีการศึกษาประมาณ 5 ปี เฉลี่ยโดยมากผู้เข้ามาบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าแล้วอยู่   ในสำนักพระพุทธเจ้า โดยตรง หรือในสมัยหลัง ๆ จะอยู่ในสำนักพระมหาเถระอื่น ๆ และเมื่อได้ระยะเวลาพอสมควรพากันออกไปอยู่ป่าลึก ๆ แล้วจึงขอกัมมัฏฐานจากพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ หรือจากพระพุทธเจ้าด้วยมุขปาฐะ สาเหตุสำคัญที่พราหมณ์ทั้งหลายในสมัยพุทธกาลละทิ้งความเชื่อเดิมที่สืบทอด กันมาหลายพันปี แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนามีหลายประการที่สำคัญที่สุดคือ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมอันจริงแท้แน่นอนที่ ผู้ปฏิบัติ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองในยุคนั้นมีผู้ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมเป็นพระอริยบุคคลมากมาย ซึ่งสามารถเป็นพยานยืนยันคำสอนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เหล่าพราหมณ์ให้การยอมรับในบุคลิกของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงมีกายมหาบุรุษจึงตั้งใจฟังคำสอนของพระองค์ พุทธวิธีสอนธรรมก็มีส่วนอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคนในสังคม อินเดีย พระองค์ทรงสอนโดยยึดตามจริตผู้เรียนหรือในปัจจุบันเรียกว่าสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อีกประการหนึ่ง คำสอนของเหล่าพราหมณ์มีความขัดแย้งกันเอง จึงทำให้พราหมณ์จำนวนไม่น้อยเสื่อมศรัทธาหันมานับถือพระพุทธศาสนา การศึกษาในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระพุทธเจ้า ได้ทรงวางระบบศึกษาไว้เป็นสามขั้นตอนด้วยกันคือ ขั้นปริยัติ ขั้นปฏิบัติ และขั้นปฏิเวธ (นางณัชชา ธารสนธยา, 2549, หน้า 34)
                ขั้นปริยัติ เป็นการศึกษาพระธรรมวินัย ให้มีความรู้ในพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า รวมทั้งพระวินัย คือข้อบัญญัติต่าง ๆ ที่จะต้องประพฤติ ให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ เพื่อจะได้นำมาประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตรงทาง และยังสามารถแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ให้มีความรู้ความเข้าใจ ในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง
                ขั้นปฏิบัติ เป็นการนำเอาพระธรรมวินัยที่ได้ศึกษามาจนรอบรู้ และเข้าใจถ่องแท้ดีแล้ว นำมาประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา และใจ ในสองข้อแรก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในกรอบของ    พระวินัย คือศีลนั่นเอง ส่วนข้อที่สามเป็นการเจริญภาวนา อันได้แก่การฝึกสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิในพระพุทธศาสนา มิใช่สมาธิโดยทั่วไป รายละเอียดในการนำไปสู่สัมมาสมาธิมีอยู่พร้อมมูล และชัดเจนแล้วในพระไตรปิฎก เมื่อได้สัมมาสมาธิในระดับที่จะนำไปใช้ปฏิบัติวิปัสสนาได้ ก็น้อมนำไปสู่การทำวิปัสสนาอันเป็นอุบายให้เกิดปัญญา ที่ได้รู้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ ของโลกตามความเป็นจริง
               ขั้นปฏิเวธ เป็นขั้นที่แสดงผลของการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยในระดับต่าง ๆ ในเรื่องต่าง ๆ ตามลำดับ จนถึงขั้นทำที่สุดแห่งทุกข์ อันเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ผลของการปฏิบัติธรรมนั้น เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก และพระอริยบุคคล ผู้ได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ซึ่งทำให้ยกฐานะจากปุถุชนธรรมดาขึ้นเป็นพระอริยบุคคล การบรรลุธรรมชั้นนั้น ๆ ตามภูมิธรรมที่ตนปฏิบัตินั้น ไม่มีใครมายกย่องหรือแต่งตั้งให้ฐานะ      หรือตำแหน่งแห่งพระอริยเจ้านั้นไม่มีการแต่งตั้งให้ จะรู้ได้ด้วยตนเอง เรียกว่า ปฏิเวธ
(จำนงค์ ทองประเสริฐ, 2547, หน้า 85)
                    คำสอนของพระพุทธเจ้ามีองค์ 9 ประการ เรียกว่านวังคสัตถุศาสน์ ได้แก่ สุตตะ    เคยยะ เวยยากรณ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม และเวทัลละ การศึกษาพระปริยัติธรรมก็เพื่อรักษาพุทธวจนะ ให้ดำรงอยู่ พระพุทธเจ้าใช้ ภาษามคธ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า ภาษาบาลี ในการแสดงพระธรรมเทศนา เนื่องจากเป็นภาษาที่คนทั่วไปในมัชฌิมประเทศ ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลาย ดังนั้น แม้ว่าจะมีการแปลพระธรรมวินัย ออกเป็นภาษาต่าง ๆ ในระยะต่อมา แต่ต้อง  ไม่ทิ้งพุทธวจนะเดิมที่เป็นภาษาบาลี เพื่อจะได้ไว้เป็นหลักฐาน ในการตรวจสอบความหมายที่แท้จริง ป้องกันความวิปลาสคลาดเคลื่อนจากการแปลความหมายไปสู่ภาษาต่าง ๆ การจัดการศึกษาสมัยพุทธกาลนั้น เริ่มต้นจากการที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว การศึกษาเล่าเรียนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ถือเป็นภารกิจอันสำคัญอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ตามพระภิกษุเหล่านั้นก็จะได้รับการศึกษาทั้งคดีโลกและคดีธรรมมาเสียส่วนใหญ่ตามลัทธิศาสนาที่ตนนับถือ อาทิ การศึกษาเล่าเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีการเรียนไตรเพท เป็นวิชาความรู้สามประการเป็นชื่อแสดงลัทธิไสยศาสตร์ดั้งเดิมของพราหมณ์ ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท ในปัจจุบันนี้เพิ่มอาถรรพเวท เป็นต้น (เสฐียรพงษ์ วรรณปก, 2548, หน้า 93)
               ดังนั้น การศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนา ในสมัยพุทธกาล จึงแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ คันถธุระ ได้แก่ การศึกษาพระธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และวิปัสสนาธุระ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียนกรรมฐานอันเป็นเครื่องมือหรืออุบายฝึกหัดจิตใจตนเอง   ให้ สะอาด ปราศจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ  ดังนั้น นัยดังกล่าวนี้ ขั้นปริยัติและขั้นปฏิบัติ จึงถือว่า อยู่ในความหมายของคันถธุระ  
               พุทธปรัชญาเถรวาทได้กล่าวในขุททกนิกาย มหานิทเทส ได้กล่าวถึงศีลและวัตร ไว้ดังนี้
เป็นศีลเป็นวัตรเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีลสำรวมในปาฏิโมกข์สังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่ เป็นผู้ปกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ความสำรวม ความระวัง ความไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทเหล่านั้นนี้จัดเป็นศีล เพราะอรรถว่าสำรวมจึงชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสมาทานจึงชื่อว่าวัตร นี้เรียกว่าศีลและเป็นวัตร เป็นวัตร          แต่ ไม่เป็นศีลเป็นไฉน คือธุดงค์ 8 ประการ คือ
               1. อารัญญิกังคธุดงค์ (สมาทานการอยู่ป่าเป็นวัตร)
               2. ปิณฑปาติกังคธุดงค์ (คือสมาทานเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร)
               3. ปังสุกูลิกังคธุดงค์ (สมาทานการทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร)
               4. เตจีวริกังคธุดงค์) สมาทานทรงไตรจีวรเป็นวัตร)
               5. สปทานจาริกังคธุดงค์ (สมาทานเที่ยวบิณฑบาทไปตามตรอกเป็นวัตร)
               6. ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ (สมาทานการไม่ฉันภัตหนหลังเป็นวัตร)
               7. เนสัชชิกังคธุดงค์ (สมาทานการนั่งเป็นวัตร)
               8. ยถาสันถติกังคธุดงค์ (สมาทานการอยู่ในเสนาสนะตามที่เขาจัดให้เป็นวัตร) นี้เรียกว่าเป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล (ขุ.มหา., เล่ม 29, ข้อ 17, หน้า 87)
               ในทีฆนิกาย มหาวรรค ใจความว่าท้าวสักกะจอมเทพครั้นทรงชื่นชมอนุโมทนา        พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต้พระองค์ผู้นิรทุกข์     ก็ภิกษุปฏิบัติอย่างไรจึงชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสำรวมในอินทรีย์” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ดูก่อนจอมเทพ ตถาคตกล่าวถึงรูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุโดยแยกเป็น 2 คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี กล่าวถึงเสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตะ กลิ่นที่ควรรู้แจ้งด้วยฆานะ รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา โพฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนโดยแยกเป็น 2 คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี” (ที.ม., เล่ม 10, ข้อ 365, หน้า 331-332)
               ฉะนั้นพึงทราบได้ว่าการสำรวมอินทรียสังวร เป็นการเพียรระวังไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นได้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อส่งเสริมให้เกิดความสำรวมระวังใน ศีล ในสมาธิ ในปัญญา ให้เกิดขึ้นเจริญขึ้นบริบูรณ์ และ เป็นหลักศึกษาปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติศึกษาอบรมที่ยิ่งกว่าต่อไป
               ไตรสิกขา หมายถึง ข้อที่จะต้องศึกษา  ข้อที่จะต้องปฏิบัติเพื่อฝึกหัดอบรมกาย  วาจา  จิตใจและสติปัญญาให้สูงขึ้น  อันสามารถบรรลุนิพพานอันเป็นจุดหมายหลักในพระพุทธศาสนา  มีดังนี้
               1. อธิสีลสิกขา หรือสีลสิกขา เนื่องจากนิจศีลหรือปกติศีล อันเป็นศีลที่จะต้องประพฤติปฏิบัติหรือศีลของคนทั่วไปต้องประพฤติ หรือที่คนทั่วไปต้องประพฤติ ถ้าเป็นของพระอริยเจ้าเรียกว่า อธิสีลสิขา เพราะต้องประพฤติให้เข้มงวดเคร่งครัดขึ้นไปอีกกว่าคนธรรมดา คือต้องปฏิบัติในข้ออริมรรคต่อไปนี้
               สัมมาวาจา อันประกอบด้วยมรรคข้อที่ 3 ได้แก่การเจรจาชอบ มีสุจริต 4 อย่าง
               สัมมากัมมันตะ อันเป็นอริยมรรคข้อที่ 4 ได้แก่การทำงานชอบ  โดยประพฤติในกายสุจริต  3
               สัมมาอาชีวะ อันเป็นอริมรรคข้อที่ 5 ได้แก่ เลี้ยงชีพชอบ โดยเว้นจากมิจฉาอาชีวะให้ประกอบในสัมมาอาชีวะ
               เบญจศีลหรือปัญจศีล ได้แก่ ศีล 5 ประการ ธรรมชาติหรือกฎเกณฑ์ในการรักษากายและวาจาให้เป็นปกติ  เรียบร้อย  ให้มีระเบียบแบบแผนที่ดีงามอันเป็นข้อปฏิบัติในการละเว้นความชั่ว  ความดี 5 อย่างได้แก่
               1. เว้นจากการปลงชีวิตสัตว์ทุกชนิด ตลอดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยวิธีการต่างๆ
               2. เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ให้ จะเป็นการลักขโมย การโกง ฉกชิงวิ่งราว      การหลอกลวงหรือการทำหลายทรัพย์สินของคนอื่นให้เสียหาย
               3. เว้นจากการประพฤติในกามารมณ์ ไม่ใคร่ในรูป ในกลิ่น ในเสียง ในรส ในสัมผัส หรือในอารมณ์ที่เป็นที่ใคร่ที่น่าพอใจ อันมีผู้อื่นหรือเจ้าของหวงแหน คุ้มครองอยู่
               4. เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่ตรงกับความจริง พูดผิดไปจากที่เป็นจริง อันเป็นเหตุ       ให้ผู้ฟังเขาใจผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากความจริงโดยเจตนา
               5. เว้นจากการดื่มน้ำเมาหรือเครื่องดอง สิ่งมึนเมาทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสุรา เบียร์ หรือสารเสพติดอื่นๆ เช่น ฝิ่น กัญชา กระท่อม เหล้าแห้ง แอมเฟตามีน มอร์ฟีน เฮโรอิน ทินเนอร์ เป็นต้น ทำให้ผู้ดื่ม เสพ ดม เปลี่ยนนิสัย ไรสติ มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
               เบจธรรม หรือเบจกัลยาธรรม หมายถึง ธรรมที่ดีงาม ธรรมที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์สมบูรณ์ (มนุษยธรรม) 5 อย่างคู่กับศีล 5 เป็นธรรมที่เกื้อกูลแก่การรักษาศีล 5 ผู้รักษาเบจศีลมีประจำใจ 5 อย่างได้แก่
               1. เมตตากรุณา ได้แก่ ความรักความปรารถนาให้เขามีความสุขและสงสารเขาอยากให้เขาพ้นจากทุกข์
               2. สัมมาอาชีวะ ได้แก่ การเลี้ยงชีพในทางสุจรติ เช่น ไม่ขโมยทรัพย์สินเขามาเลี้ยงชีพหรือแม้แต่การค้าสิ่งต้องห้าม 5 อย่าง เช่น ค้ายาพิษ ค้ามนุษย์ เป็นต้น ก็จัดอยู่ในข้อนี้
               3. กามสังวร ได้แก่ การสำรวมในกาม เช่น ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส สัมผัส โดยไม่รู้จักประมาณ ขาดสติ ไม่รู้จักควบคุมตนเองเป็นต้น
               4. สัจจะ ได้แก่ ความสัตย์ ความซื่อตรง โดยประพฤติเป็นธรรม ไม่คด ไม่โกง เป็นต้น
               5. สติสัมปชัญญะ ได้แก่ การระลึกได้และรู้สึกตัวเสมอ ให้รู้จักยั้งคิดให้มีความระมัดระวัง ไม่ประมาทมัวเมา เป็นธรรมที่ปฏิบัติเพื่อปูเป็นพื้นฐานจริยธรรม  
               กุศลกรรมบถ 10 กุศลกรรมบถ  หมายถึง ทางสร้างความดี ทางบำเพ็ญกุศล วิธีทางปฏิบัติอย่างฉลาด ทางความดีเพื่อไปสู่ความสุข ความเจริญหรือสุคติอันเป็นธรรมสมบูรณ์ที่ทุกคนควรประประพฤติได้แก่
               การประพฤติดีทางกาย 3 อย่าง
               1. เว้นฆ่าสัตว์ เว้นจากการเบียดเบียนสัตว์ทุกประเภท พยายามสร้างความเมตตาคุณ มีความสงสารเหล่าสัตว์ ช่วยเหลือสัตว์
               2. เว้นการลักทรัพย์ ไม่เอาสิ่งของที่ผู้อื่นมิได้ให้ มีความเคารพในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของผู้อื่น
               3. เว้นจากการประพฤติผิดในทางกาม ไม่ล่วงละเมิดในทางเพศสัมพันธ์ในบุคคลที่เขาหวงแหนคุ้มครองอยู่ หรือใคร่ในรูป เสียง กลิ่น รส เกินประมาณ
               การประพฤติดีทางกายวาจา 4 อย่าง  ดังนี้
               1. เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่จริงเพราะเหตุของตน ของผู้อื่น หรือเห็นแก่ประโยชน์ใด
               2. เว้นจากการพูดส่อเสียด พูดกระทบกระทั่งคนอื่น ควรช่วยพูดคนที่สมานคนที่แตก ร้าวกัน เพื่อมิตรไมตรีสามัคคีกัน
               3. เว้นการพูดคำหยาบ ควรพูดแต่คำสุภาพนิ่มนวล อ่อนหวาน ไพเราะเสนาะโสตของผู้ฟัง
               4. เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระ ควรพูดแต่คำสัตย์คำจริง มีเหตุผล             มีประโยชน์ ถูกต้องตามกาลเทสะ
               การทำความดีทางใจ 3 อย่าง 
               1. ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน หรือไม่โลภอยากได้ทรัพย์สมบัติของคนอื่น
               2. ไม่มีจิตคิดร้าย คิดอยากได้ดีกว่าคนอื่น ควรคิดปรารถนาให้คนอื่นสัตว์อื่นไม่มีเวร     ไม่มีภัยแก่กันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ ให้ครองตนอยู่ในสุขสันติเถิด
               3. ไม่มีความเห็นผิด โดยมีความเห็นชอบ เห็นถูกต้อง เช่น ทานที่ให้ไปแล้วย่อมมีผล การบูชาที่บูชาแล้วย่อมมีผล
               อริมรรคมีองค์ 8 หรืออัฏฐังคิกมรรค หมายถึง ทางอันประเสริฐ หรือทางที่ประกอบด้วยองค์  8  หรือเรียกให้เต็มรูปศัพท์ว่า “อริยอัฏบังคิกมรรค” แปลว่า ทางมีองค์แปดประการอันประเสริฐ 
               1. สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ ได้แก่ ความรู้ในอริสัจ 4 หรือความรู้แจ้งในไตรลักษณ์ 3 ประการ หรือรู้ในกุศลและอกุศล หรือเห็นแจ้งในปฏิจจสมุปบาท
               2. สัมมาสังกัปปะ มีความดำริชอบ ได้แก่ เนกขัมมสังกัปปะ มีความดำริปลอดจากกาม ดำริในการเสียสละ ไม่ติดอยู่ในการปรนเปรอสนองความอยากของตน อพยาบาทสังกัปปะ มีความดำริในการไม่พยาบาท มีความนึกคิดที่ประกอบด้วยเมตตา ไม่ขัดเขืองหรือเพ่งมองในแง่ร้ายต่อคนอื่น อวิหิงสาสังกัปปะ มีความดำริปลอดจากการเบียดเบียน ดำริที่ประกอบด้วยกรุณาไม่คิดร้ายหรือมุ่งทำหลายคนอื่น
               3. สัมมาวาจา มีการเจรจาชอบ ได้แก่ วจีสุจริต 4 มีการเว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ 
               4. สัมมากัมมันตะ มีการกระทำชอบ ได้แก่ กายสุจริต 3 มีการเว้นจากการปลงชีวิต   เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้โดยอาการลักขโมย และเว้นจากการประพฤติในกาม
               5. สัมมาอาชีวะ มีการเลี้ยงชีพชอบ ได้แก่ การเว้นมิจฉาชีพ 5 อย่าง คือ ค้าขายอาวุธ ค้าขายมนุษย์ ค้าขายสัตว์เพื่อนำไปฆ่า ค้าขายน้ำเมาและค้าขายยาพิษ
               6. สัมมาวายามะ มีความพยายามชอบ ได้แก่ ความเพียร 4 อย่าง บางที่เรียกว่า “สัมมัปปธาน” มีความเพียรชอบ มีความเพียรใหญ่ 4 ประการ
                    6.1 ปหานปธาน เพียรในการละหรือเพียรในการกำจัด หรือเพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
                    6.2 สังวรปธาน เพียรระวังหรือเพียรปิดกั้น คือเพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
                    6.3 ภาวนาปธาน เพียรเจริญหรือก่อให้เกิดขึ้น คือเพียรกระทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
                    6.4 อนุรักขนาปธาน เพียรรักษา คือเพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น   และเจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์
               7.  สัมมาสติ เพียรระลึกชอบ ได้แต่สติปัฏฐาน 4 อันหมายถึงที่ตั้งของสติ หรือการตั้งสติพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือตามที่สิ่งนั้นๆมันเป็นของมันเอง ได้แก่
                    7.1 กายานุสติปัสนาปัสสนาสติกัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย ให้รู้เห็น ตามความเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงกาย ไม่ใช่วัตถุ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา  
                    7.2 เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้ตามความ เป็นจริง ว่าเป็นเพียงเวทนา ไม่ใช่วัตถุ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา คือมีสติรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี    อันเป็นทุกข์ก็ดี เฉยๆก็ดี ทั้งที่เป็นอามิสและนิสรามิสตามที่เป็นอยู่ขณะนั้น
                    7.3 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามความ   เป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงจิตไม่ใช่บุคคล ตัวตน เรา เขา คือ คือมีสติรู้ชัดจิตของตนที่เป็นราคะ มีโทสะ     มีโมหะ หรือไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ        และอื่นๆตามที่เป็นอยู่ขณะนั้น
                    7.4  ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงธรรมหรือธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา คือมีสติรู้ชัดทั้งหลายได้แก่  นิวรณ์ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค์ 7 อริยสัจ 4 ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร มีในตนหรือไม่ เกิดขึ้น เจริญ  บริบูรณ์ และดับไปได้อย่างไร เป็นต้น ตามที่เป็นจริงของมันอย่างนั้น
               8.  สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ ได้แก่ ฌาน 4 อันได้แก่รูปฌาน 4 คือ
               1.  ปฐมฌาน ฌานที่ 1 มีองค์ 5 ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา
               2.  ทุติยฌาน ฌานที่ 2 มีองค์ 3 ได้แก่ ปีติ สุข และเอกัคคตา
               3.  ตติยฌาน ฌานที่ 3 มีองค์ 2 ได้แก่ สุข และเอกัคคตา
               4.  จตุตถฌาน ฌานที่ 4 มีองค์ 2 ได้แก่ เอกัคคตา และอุเบกขา
(บุญมี แท่นแก้ว, 2545, หน้า 58-62)       
                    พระภิกษุสงฆ์มีหน้าที่ในการศึกษาอบรม พระภิกษุสงฆ์ต้องฝึกอบรม 3 ให้ครบสมบรูณ์ 3 ด้าน คือ
               ด้านศีล ต้องควบคุม กาย วาจา ใจ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย งดเว้นจากข้อห้าม                ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ศีลของพระภิกษุสงฆ์มี 2 อย่าง คือ
               ศีลในปาติโมกข์ คือ ศีล 227 ข้อ ของพระภิกษุและศีล 311 ข้อ ของภิกษุณี
               ศีลนอกปาติโมกข์ คือ ศีลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ข้อบัญญัติที่เกี่ยวกับมารยาทต่าง ๆ เพื่อความดีงามของสถาบันสงฆ์
               ด้านสมาธิ คือการฝึกฝนจิตใจด้วยการฝึกเจริญภาวนา เพื่อทำจิตใจให้สงบ ข่มกิเลสได้ทีละน้อย ๆ จนมากขึ้นถึงขั้นวิปัสสนา ภาวนา คือ เกิดปัญญารู้แจ้ง แล้วสละกิเลสได้เด็ดขาด หลักเจริญสมาธิ นั้นมีหลายวิธีด้วยกัน ดังนั้นในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยกล่าว วิธีเจริญอานาปานสติเพื่อให้เกิดสติปัฏฐานบริบูรณ์ไว้ พอเป็นแนวทางในการศึกษาปฏิบัติตามดังนี้ ในอานาปานัสสติสูตร พระพุทธองค์ และพระสาวก เช่น พระสีรีบุตร พระมหาโมกคัคลานะ พระมหากัสสปะ เป็นตนได้สอนพระนวกะ ใจความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ตาม อยู่โคนไม้ ก็ตาม อยู่เรือนวางก็ตาม นั่งคู้บัลลัง ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้าเธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
               เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
               เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชักว่าเรา หายใจออกยาว
               เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
               เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวง หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายมีความเพียร              มีสัมปชัญญะ มีสิต กำจัดอภิชาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจเข้าลมหายใจออกนี้ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในกายทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้นภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณากายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสมัยใด
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งปีติ หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งปีติ หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งสุข หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งสุข หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งจิตตสังสังขาร หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งจิตตสังสังขาร หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับจิตตสังขาร หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับจิตตสังขาร หายใจออก
               สมัยนั้นภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ     กำจักอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างดีนี้ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่งในเวทนาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใดภิกษุ
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งจิต หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งจิต หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักยังจิตให้บันเทิง หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักยังจิตให้บันเทิง หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราตั้งจิตไว้มั่น หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราตั้งจิตไว้มั่น หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักปล่อยจิต หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักปล่อยจิต หายใจออก
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร                มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว  อานาปานสติสำหรับภิกษุผู้ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุ
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นราคะ หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นราคะ หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นนิโรธ หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นนิโรธ หายใจออก
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นปฏินิสสัคคะ หายใจเข้า
               ย่อมสำเหนียกว่า เราจักพิจารณาเห็นปฏินิสสัคคะ หายใจออก
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร          มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เธอเห็นอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญาแล้วย่อมเป็นผู้ว่างเฉยได้ดี เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรม   ในธรรม มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย           อานาปนสติที่ภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ได้
(ม.อุ., เล่ม 14, ข้อ 148, หน้า 209-214)   
               ด้านปัญญา คือศึกษาปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ทั้ง 2 อย่างคือ
               1. โลกิยปัญญา อันเป็นปัญญาที่ประกอบด้วยอาสวะ สังโยชน์ คันถะ โอฆะ โยคะ นิวรณ์ ผัสสะ สังสารวัฏ และกิเลส หมายถึงปัญญาทางโลก ที่ยังประกอบด้วยทุกข์อยู่หรือปัญญาที่ยังข้องเกี่ยวอยู่ในโลก เป็นสรรพวิชาต่างๆ ที่ทางโลกบัญญัติว่าเป็นองค์ความรู้ ตั้งชั้นต้น ไปจนถึงชั้นสูง เช่น ความรู้ในศีล ความรู้ในสมาธิ ความรู้ในปัญญา และความรู้ในวิทยา หรือวิชาต่างๆ เป็นต้น
               2. โลกุตตรปัญญา อันเป็นปัญญาที่สัมปยุตด้วยอริมรรค อริยผลที่ปราศจากอาสวะ    ไม่มีสังโยชน์ ไม่มีคันถะ ไม่มีโอฆะ ไม่มีนิวรณ์ ไม่มีสังสารวัฏ และไม่มีกิเลส หมายถึงปัญญาที่ตัดกิเลสทั้งปวง เกิดจากการศึกษาอบรมในธรรมวินัย คือศึกษาอบรมในศีล ศึกษาอบรมในสมาธิ ศึกษาอบรมในปัญญา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งสามารถตัดกิเลสทั้งปวงได้
                    แก่นแท้ของการประพฤติพรหมจรรย์  ภิกษุทั้งหลาย การประพฤติพรหมจรรย์ หรือการปฏิบัติธรรมนี้
               1. มิใช่มี ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ เป็นอานิสงส์ เพราะเปรียบเทียบเท่ากับ      กิ่งและใบของต้นไม้
               2. มิใช่มี ความถึงพร้อมแห่งศีล เป็นอานิสงค์เพราะเปรียบเทียบกับสะเก็ดของต้นไม้
               3. มิใช่มี ความถึงพร้อมแห่งสมาธิ เป็นอานิสงค์ เพราะเปรียบเทียบกับเปลือกของต้นไม้
               4. มิใช่ ความถึงพร้อมแห่งญานทัสสนะ (ปัญญา) เป็นอานิสงค์ เพราะเปรียบเทียบเท่ากับกระพี้ของต้นไม้
               5. แต่การประพฤติพรมจรรย์นี้ เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นแห่งจิตนั้นนั่นแหละเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมาย เป็นแก่นสาร เป็นผลสุดท้ายของพรหมจรรย์ เพราะเปรียบเท่ากับแก่นของต้นไม้
               เป้าหมายของการประพฤติพรหมจรรย์ ภิกษุทั้งหลาย การประพฤติพรหมจรรย์ หรือการปฏิบัติธรรมนี้
               1. มิใช่หวังหลอกลวงให้คนมานับถือเคารพเรา (แต่ให้เคารพพระธรรม)
               2. มิใช่หวังเรียกคนให้มาเป็นบริวาร (แต่ให้เป็นบริวารของพระธรรม)
               3. มิใช่หวังให้เราได้ลาภสักการะ เสียงสรรเสริญ (แต่ให้พระธรรมได้สักการะ เสียงสรรเสริญ)
               4. มิใช่หวังให้เราได้เป็นนั่นเป็นนี่ หรือเป็นใหญ่ เป็นเจ้าลัทธิเพื่อค้านหรือทำลายเจ้าลัทธิอื่นให้ลมไป (แต่ให้พระธรรมเป็นใหญ่)
               5. มิใช่หวังให้เราเป็นผู้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ (แต่ให้พระธรรมเป็นสิ่งวิเศษ) การประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อสำรวม เพื่อการละ เพื่อคลายกำหนัด เพื่อนิพพาน คือดับทุกข์ อุปาทาน ทั้งปวงโดยส่วนเดียวเท่านั้น
(ปัญญา ใช้บางยาง ในนามธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม, 2548, หน้า 549)
               ดังกว่ามาแล้วข้างต้นการศึกษาปฏิบัตินั้นเป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายสูงสุดในพุทธปรัชญาเถรวาทเป็นเป้าหมายหลักในการศึกษาปฏิบัตินั่นเอง    
                2.2.2 วิปัสสนาธุระ
               วิปัสสนาธุระในครั้งสมัยพุทธกาล เป็นกิจอย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า เป็นหนทางเดียวที่ทำให้ก้าวล่วงพ้นจากความทุกข์ไปได้ เพราะการปฏิบัติเป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์นานาประการ ออกเสียจากชีวิต เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงว่า ชีวิตคืออะไรกันแน่ ปกติเราปล่อยให้ชีวิต ดำเนินไปตามความเคยชินของมันปีแล้วปีเล่าอย่างคนมืดบอด ซึ่งเห็นได้ว่าแม้แต่ในครั้งพุทธกาล ผู้ที่บวชเข้ามาสู่พุทธศาสนาเมื่อมีอายุมากแล้ว          ไม่สามารถศึกษาจดจำพุทธพจน์ต่าง ๆ ของพระพุทธองค์ได้เท่ากับผู้ที่ยังมีอายุน้อย พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงปิดช่องทางไว้เสียที่เดียว ทรงแนะนำรับพระกรรมฐาน มุ่งมั่นแต่ความเพียรให้ทำความเข้าใจแจ่มแจ้งในรูปนามบ้าง ให้เข้าใจในรากเหง้าของอกุศลบ้าง หรือให้เข้าใจในเรื่องจิตและอารมณ์ของตนบ้าง เป็นต้น เพราะเหตุว่า สิ่งเหล่านี้เป็นมูลฐานของชีวิตอันก่อให้เกิดสุขเกิดทุกข์ได้ แต่ในขณะเดียวกันผู้แตกฉานในคันถธุระ แม้จดจำได้มาก เป็นหมื่นแสนคัมภีร์ แต่ถ้าตราบใดยังไม่อาจพาตนเองให้หลุดจากอาสวะกิเลสเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ได้แล้วพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงสรรเสริญ เพราะถือว่ายังไม่ใช่เป้าหมายอันแท้จริงของพระพุทธศาสนานั่นเอง ดังเช่น เรื่อง       พระโปฐิละ หรือพระใบลานเปล่า ซึ่งมีกล่าวไว้ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ ธรรมบทว่าพระโปฐิละเถระ ผู้มีความเชี่ยวชาญแตกฉานในคัมภีร์ของพระพุทธเจ้าถึง 7 พระองค์            เป็นอาจารย์สอนธรรมแก่พระภิกษุ 500 รูป จนบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ แล้วมากมาย เป็นผู้คงแก่เรียน แตกฉานในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อท่านอธิบายธรรม ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรือเถียงท่าน เป็นที่นับหน้าถือตาโดยทั่วไป วันหนึ่ง ท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ขณะก้มลงกราบ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า มาแล้วหรือ พระใบลานเปล่า เมื่อท่านเสร็จกิจทูลลากลับ พระพุทธองค์ก็ตรัสอีกว่า กลับแล้วหรือ พระใบลานเปล่า ท่านโปฐิละสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าจริง ท่านเป็นพระเรียนอย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย เมื่อมองดูจิตใจของตน ก็ไม่ต่างจากฆราวาสเลย ฆราวาสยินดีอะไรอยากได้อะไร ตนก็เป็นเช่นนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย ท่านจึงสนใจปฏิบัติบ้าง เมื่อไปหาอาจารย์ตามที่ต่าง ๆ ก็ไม่มีใครกล้ารับ เพราะเห็นว่าท่านร่ำเรียนมามาก ไม่มีใครกล้าสอน ในที่สุดท่านได้ไปขอปฏิบัติกับสามเณรน้อยซึ่งเป็นอริยบุคคล เณรจึงขอทดลองดูก่อน โดยสั่งให้ท่านห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้วิ่งลงไปลุย     ในหนองที่เป็นโคลนตม เมื่อเณรเห็นว่าท่านละทิฐิได้แล้ว จึงสอนวิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์ให้รู้จักจิตของตน โดยยกอุบายขึ้นว่า “เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพลงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ยเข้าไปในนั้น ทำอย่างไรจึงจับเหี้ยได้” เณรแนะอีกว่า “จับเหี้ย ก็ต้องหาอะไรมาปิดรูไว้ก่อนห้ารู เหลือเพียงรูเดียวให้เหี้ยออก แล้วคอยจ้องมองดูที่รูนั้น เมื่อเหี้ยวิ่งออกมาเมื่อไร ก็คอยจับเอาเท่านั้น” การกำหนดจิตก็เหมือนกับการจับเหี้ย ต้องปิดทวารทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสียก่อน คงเหลือกำหนดแต่จิตหรือใจเพียงอย่างเดียว แล้วใช้สติเป็นตัวคอยควบคุมไว้จึงจับกิเลสได้
               วิปัสสนาธุระ เป็นหลักการปฏิบัติทำจิตตภาวนา หรือทำกรรมฐานนั่นเอง ซึ่งก็มีทั้ง    ฝ่ายสมถกรรมฐานทั้งฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งฝ่ายสมาธิทั้งฝ่ายปัญญา แต่ว่ายกเอาวิปัสสนาเป็นประธาน เพราะว่า วิปัสสนาปัญญาเท่านั้นกำจัดกิเลสได้เด็ดขาด เป็นเหตุละกิเลสได้เป็นอย่างดี ลำพังสมาธิหรือสมถะ ถ้าไม่มีปัญญาก็ยังละกิเลสไม่ได้เด็ดขาด การได้ปัญญาก็ต้องมีสมาธิ เป็นบาท คือเป็นเท้าให้บรรลุถึงความสำเร็จ เหมือนอย่างที่คนไปไหนก็ต้องมีเท้าสำหรับที่เดินไป ให้ถึง สมาธิก็เป็นบาทนำให้เกิดปัญญา และเมื่อเกิดปัญญาจึงเห็นธรรม ปัญญาที่เห็นธรรมนี้เองเป็นตัวปัญญาที่เป็นส่วนผล หรือเป็นตัวญาณคือความหยั่งรู้ อันเกิดมาจากการปฏิบัติทางวิปัสสนา โดยมีสมาธิเป็นบาท ฉะนั้น เมื่อกล่าวโดยย่อจึงยกเอาแต่วิปัสสนาเพียงอย่างเดียว เรียกว่า วิปัสสนาธุระ ซึ่งประกอบด้วย สมถะธุระ รวมอยู่ด้วย  
               กรรมฐาน แปลว่า ฐานแห่งการงาน คือหมวดธรรมที่ใช้เป็นอุบายชำระจิตใจให้ปลอดจากนิวรณ์ เนื่องจากเป็นหมวดของอุบายธรรม กรรมฐานจึงประกอบด้วยวิธีการต่างๆมากมาย     มีประเภทและจุดมุ่งหมายต่างกันตามประเภทของนิวรณ์ธรรม ผู้เจริญกรรมฐานต้องรู้จักเลือกประเภทที่เหมาะสมกับอุปนิสัยของตนวิปัสสนาธุระมี 2 อย่าง คือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน  (พระมหาพงศกรฐ์ ฐิตวํโส , 2554, หน้า 18)
               1.สมถกรรมฐาน
               สมถกรรมฐาน คือการฝึกจิตให้สงบเกิดสมาธิโดยใช้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้จิตยึดเกาะเป็นอารมณ์ ในกรรมฐาน 40 กอง ความหมายของสมถกรรมฐาน แปลว่า ความสงบ ความตั้งอยู่     แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความไม่ซัดส่ายไปแห่งจิต สมถกรรมฐานจึงหมายถึง วิธีทำให้จิตสงบด้ายสมถะ ได้แก่ การกำหนดผูกใจ ไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์ ให้จิตมั่นคงแนวแน่น้อมดิ่งลง ในอารมณ์เดียว จนเกิดเป็นอัปปันนาสมาธิ เมื่อจิตแนบแน่นเต็มที่ก็เกิดภาวะจิตที่เรียกว่า ฌาน ซึ่งมีระดับต่างๆกันไป ระดับที่กำหนดรูปธรรมเป็นอารมณ์เรียกว่า รูปฌาน มี 4 ขั้น ระดับที่กำหนดอรูปธรรมเป็นอารมณ์เรียกว่า อรูปฌาน มี 4 ขั้น รวมกันเรียกว่า สมาบัติ 8 ภาวะของจิตในฌานเป็นภาวะที่สุขสงบผ่องใส ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้ามองปราศจากนิวรณ์ เป็นความหลุดพ้นจากกิเลสตลอดเวลาที่อยู่ในฌานสมาบัติ แต่เมื่อออกจากฌานสมาบัติก็กลับมีขึ้นเหมือนเดิม ทานจึงเรียกว่าเป็นวิกขัมภนนิโรธ หรือวิกขัมภนวิมุติ คือ ดับกิเลสหรือหลุดพ้นด้วยเอาสมาธิข่มไว้ นอกจากนี้แล้วสมถะยังมีผลพลอยได้อีกมากมาย เช่น แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ ระลึกชาติได้เป็นต้น
               อารมณ์ของสมถกรรมฐานมี 40 อย่าง ดังนี้ กสิน 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 อัปปมัญญา 4 อรูป 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุวัตถาน 1
               หมวดกสิณ คือวัตถุอันจูงใจ เป็นชื่อของกรรมฐานที่ใช้วัตถุสำหรับเพ่งเพื่อผูกจิต         ให้เป็นสมาธิมี 10 อย่าง
               1. ปฐวีกสิณ กสิณคือการใช้ดินเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมเพื่อเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               2. อาโปกสิณ กสิณคือการใช้น้ำเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               3. เตโชกสิณ กสิณคือใช้ไฟเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               4. วาโยกสิณ กสิณคือการใช้ลมเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               5. นีลกสิณ กสิณคือการใช้สีเขียวเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               6. ปีตกสิณ กสิณคือการใช้สีเหลืองเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               7. โลหิตกสิณ กสิณคือการใช้สีแดงเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               8. โอทาตกสิณ กสิณคือการใช้สีขาวเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               9. อาโลกกสิณ กสิณคือการใช้แสงสว่างเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
               10. อากาสกสิณ กสิณคือการใช้ช่องว่างเป็นวัตถุสำหรับเพ่งเป็นอารมณ์เพื่อให้จิต     เป็นสมาธิ
               หมวดสุภะ การพิจารณาร่างกายของตนและผู้อื่นให้เป็นสภาพที่ไม่งาม ในที่นี้หมายถึงซากศพในสภาพต่างๆซึ่งใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน 10 อย่าง คือ
               1. อุทธุมตกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่เน่าพองขึ้รอืด
               2. วินีลกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีสีเขียวคล้ำ
               3. วิปุพพกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลออกอยู่
               4. วิจฉิททกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่ขาดกลางตัว
               5. วิกขายิตกะ พิจารณาซากศพที่สัตว์กัดกินแล้ว
               6. วิขิตตกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีมือ เท้า ศรีษะขาด
               7. หตวิกขิตกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่คนมีเวรเป็นข้าศึกกันสับฟันเป็นท่อน
               8. โลหิตกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่ถูกประหารด้วยศาสตรามีโลหิตใหลอาบอยู่
               9. ปุฬุวกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีหนอนคลานคล่ำไปมาอยู่
               10. อัฏฐิกะอสุภะ พิจารณาซากศพที่ยังเหลือแต่กระดูก
               หมวดอนุสสติ อารมณ์ที่ควรระลึกถึงเนืองๆ 10 อย่าง
               1. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
               2. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม
               3. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์
               4. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลของตน
               5. จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว
               6. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณของเทวดา คือ พิจารณาถึงคุณธรรมที่ทำให้บุคคล        เป็นเทวดา
               7. มรณานุสสติ ระลึกถึงความตายที่เหล่าสรรพสัตว์ต้องตายเป็นธรรมดา
               8. กายานุสสติ กำหนดพิจราณาอาการ 32 ที่มีอยู่ในกายนี้
               9. อานาปานสติ กำหนดพิจารณาลมหายใจเข้าออก
               10. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงธรรมคือพระนิพพานอันเป็นที่หมดกิเลสและกองทุกข์
               หมวดอัปปมัญญา คือการแผ่คุณธรรม 4 ประการไปยังสรรพสัตว์
               1. เมตตา ความมีจิตเมตตาคิดให้สัตว์ทั้งปวงมีความสุข
               2. กรุณา ความสงสารคิดช่วยเหลือให้พ้นทุกข์
               3. มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
               4. อุเบกขา ความว่างใจเป็นกลาง
               หมวดอาหารเรปฏิกูลสัญญา การพิจารณาความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล    เป็นของน่าเกลียดโดยอาการต่างๆ เช่น ปฏิกูลโดยบริโภค
               หมวดจตุธาตุวัตถาน กำหนดธาตุ 4 โดยพิจารณาร่างกายนี้ แยกแยะออกไปมองเห็น แต่ส่วนประกอบต่างๆ ว่าเป็นเพียงธาตุ 4 ประชุมกันเท่านั้น
               1. ปฐวีธาตุ ธาตุดิน คือ ธาตุที่มีลักษณะแข้นแข็งในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
               2. อาโปธาตุ ธาตุน้ำ คือ ธาตุที่มีลักษณะเอิบอาบ ดูดซึมในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ดี เลือด เสลด หนอง เป็นต้น
               3. เตโชธาตุ ธาตุไฟ คือ ธาตุที่มีลักษณะร้อน ความร้อนในร่างกาย เช่น ไฟที่ยังกาย    ให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุด เป็นต้น
               4. วาโยธาตุ ธาตุลม คือ ธาตุที่มีลักษณะพัดไปมา ภาวะหวั่นไหวในร่างกายนี้ ส่วนที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐานเช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมหายใจเขาออก เป็นต้น
               หมวดอรูปกรรมฐาน คือ กรรมฐานที่กำหนดเอาสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ 4 อย่าง
               1. อากาสานัญจายตนะ กำหนดที่ว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์
               2. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุกมิได้เป็นอารมณ์
               3. อากิญจัญญายตนะ กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์
               4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ กำหนดภาวะที่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์ (พระมหาสมบัติ ฐิตญาโณ, 2548, หน้า 42-44)
               2. วิปัสสนากรรมฐาน
          วิปัสสนากรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่สอนให้บุคคลใช้ปัญญา หรือเป็นวิธีทำจิตให้เกิดความรู้แจ้ง รู้ชัดสิ่งทั้งหลายตรงต่อสภาวะของมัน คือ ให้เข้าใจตามความเป็นของมันเอง วิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่การฝึกจิตให้มีสัมปชัญญะรู้เท่าทันต่อปรากฏการณ์ทุกอย่างที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่ตกเป็นทาสของปรากฏการณ์เหล่านั้น หรือการฝึกอบรมจิตให้มีสัมปชัญญะรับรู้อารมณ์ตรงตามความเป็นจริงไม่เข้าไปปรุงแต่งและยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจ อวิชา ตัณหา อุปาทาน การเจริญวิปัสสนากรรมฐานมีจุดหมายเพื่อทำหลายกิเลสอันเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์
(พระมหาพงศกรฐ์ จิตวํโส, 2554, หน้า 22)
               จุดมุ่งหมายของการฝึกอบรมเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เกิดรู้แจ้งเห็นจริง ย่อมคลาดความหลงผิดความเข้าใจผิด จนกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งหลาย ซึ่งข้อนี้   พระพุทธองค์ทรงสอนให้เห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า รูปนามหรือขันธ์ 5 ที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ไกลก็ดี อยู่ใกล้ก็ดี ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา เมื่อบุคคลเห็นชอบด้วยปัญญาเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด จิตก็หลุดพ้นจากความยึดถือ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนเรา เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ญาณคือความรู้ก็เกิดผุดขึ้นในใจของท่านผู้หลุดพ้น รู้ว่าตนเองได้หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสเหล่านั้นแล้ว เสร็จกิจที่ควรประพฤติเพื่อละความชั่ว ความประพฤติดี และกิเลส
(พระมหาสมบัติ ฐิตญาโณ, 2548, หน้า 45)
            จากข้อความที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าการฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐานก็เพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง สามารถตัดกิเลสได้สิ้นเชิง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีหลายวิธี เช่น สติปัฏฐาน 4
            สติปัฏฐาน 4 คือที่ตั้งแห่งสติหรือฐานที่ตั้งแห่งการฝึกอบรมสติเพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งในสัจธรรมตามความเป็นจริงดังในมหาสติปัฏฐาน 4 สูตรย่อ ใจความสำคัญดังนี้
               กายานุปัสสนา คือ การพิจารณากาย หรือตามดูรู้ทันกาย ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงแค่กายไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จำแนกไว้ โดยให้พิจารณา 6 อย่าง ดังนี้
               1. อานาปานสติ คือ ไปในที่สงัดนั่งขัดสมาธิ ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออกโอยอาการต่างๆ          
               3. กำหนดอิริยาบถ คือ เมื่อยืน เดิน นั่ง นอน หรือร่างกายอยู่ในอาการอย่างไรก็รู้ชัดในอาการที่เป็นอยู่นั้นๆ
               3. สัมปชัญญะ คือ สร้างสัมปชัญญะ (ความรู้ตัว) ในการกระทำทุกอย่าง และความเคลื่อนไหวทุกอย่าง เช่น การก้าวเดิน การเหลียวมอง การเหยียดมือ นุ่งห่มผ้า กินอาหาร ดื่มน้ำ เคี้ยวอาหาร การตื่น การนอน การพูด เป็นต้น
               4. ปฏิกูลมนสิการ คือ พิจารณาร่างกายของตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซึ่งมีส่วนประกอบที่ไม่สะอาดต่างๆมากมายมารวมกันอยู่ด้วยกันว่าเป็นของไม่สะอาด
               5. ธาตุมนสิการ คือ พิจารณาร่างกายของตน โดยให้เห็นแยกประเภทว่าเป็นธาตุ 4 เท่านั้น
               6. นวสีวถิกา คือ มองเห็นศพที่อยู่ในสภาพต่างๆกัน โดยระยะเวลา 9 ระยะตั้งแต่ตายใหม่ๆ ไปจนถึงเหลือแต่กระดูก
               เวทนานุปัสสนา ได้แก่ การตามดูรู้ทันเวทนา คือ เมื่อเกิดความรู้สึก สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ทั้งที่เป็นชนิดที่เป็นอามิส (มีสิ่งล่อ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ) และนิรามิส (ไม่มีสิ่งล่อ) ก็รู้ชัดตามที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ
               จิตตานุปัสสนา คือ การตามกำหนดรู้จิต คือ จิตของตนในขณะนั้นๆ เป็นอย่างไร เช่น มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เป็นต้น
               ธัมมานุปัสสนา คือ การตามดูรู้ทันธรรม ได้แก่ นิวรณ์ 5 (เครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี)  ขันธ์ 5 (รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ) อายตนะ 12 ( อายตนะภายนอก คือ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ, อายตนะภายใน คือ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, ธรรมมารมณ์ ) โพชฌงค์ 7 ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ หรือองค์ของผู้ตรัสรู้ คือ (สติสัมโพชฌงค์, ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์, วิริยสัมโพชฌงค์, ปีติสัมโพชฌงค์, ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์, สมาธิสัมโพชฌงค์,  อุเบกขาสัมโพชฌงค์) และอริยสัจ 4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) มีอธิบายโดยสังเขปดังนี้
               นิวรณ์ คือรู้ชัดในขณะนั้นๆว่า นิวรณ์ 5 แต่อย่างมีอยู่ในใจตนหรือไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไร ที่ละได้แล้วไม่เกิดขึ้นได้อีกต่อไปอย่างไร รู้ชัดนามที่เป็นไปอยู่ในขณะนั้นๆ
               ขันธ์ คือ กำหนดรู้ว่าขันธ์ 5 แต่ละอย่างคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และดับไปได้อย่างไร
               อายตนะ คือ รู้ชัดในอายตนะภายนอก อายตนะภายในแต่ละอย่างๆ รู้ชัดในสังโยชน์ที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยอายตนะนั้นๆ รู้ชัดว่าสังโยชน์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เกิดขึ้นแล้วละได้อย่างไร อย่างไรที่ละแล้ว ไม่เกิดขึ้นได้อีกอย่างไร
               โพชฌงค์ คือ รู้ชัดในขณะนั้นๆว่าโพชฌงค์ 7 แต่ละอย่างๆมีอยู่ในใจตนหรือไม่ ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เกิดขึ้นแล้วเจริญเต็มบริบูรณ์ได้อย่างไร
               อริยสัจ คือ รู้ชัดอริยสัจ 4 แต่ละอย่างๆตามความเป็นจริงว่าคืออะไร ทุกข์ คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร มีวิธีดับอย่างไร และทางดับทุกข์ได้อย่างไร
(พระมหาเข็มทอง ตนฺติปาโล, 2547, หน้า 21-22)    
               ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามมรค ได้อธิบายวิปัสสนากถา ดังนี้ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอเมื่อพิจารณาเห็นสังขารไรๆ โดยความเป็นของเที่ยงอยู่จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติจักย่างลงสู่สัมมัตตนิยามได้ ขอนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยามจักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามีผล หรืออรหันตผลได้ ข้อนี้มิใช่ฐานที่จะมีได้
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอเมื่อพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงอยู่จะเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ขอนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติจักย่างลงสู่สัมมัตตนิยามได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อย่างลงสู่สัมมัตตนิยามได้จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหันตผลได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ การพิจารณาเบญจขันธ์ ให้เห็นว่าเป็นองไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวใช่ตนเรา เขา จนคลายความยึดมันถือมั่นลงได้ ก็ทำให้เกิดมรรค ผลได้ (ที.ปา., เล่ม 11, ข้อ 731, หน้า 562-570)
               ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามมรรคกล่าวไว้ในว่าด้วยเรื่องวิปัสสนากถา ใจความว่า เมื่อพิจารณา สังขาร โดยความเป็นทุกข์ พิจารณาธรรมโดยความเป็นอนัตตา พิจารณานิพพานโดยความเป็นสุข โดยอนุโลมขันติ อนุโลมขันติ 40 อย่างดังนี้
               1. การพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความไม่เที่ยง เป็นอนิจจานุปัสสนา
               2. โดยความเป็นทุกข์ เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               3. โดยความเป็นโรค เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               4. โดยความเป็นดังหัวฝี เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               5. โดยความเป็นดังลูกศร เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               6. โดยความ เป็นดังความลำบาก เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               7. โดยความเป็นอาพาธ เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               8. โดยความเป็นอย่างอื่น เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               9. โดยความเป็นชำรุด เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               10. โดยความเป็นเสนียด เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               11. โดยความเป็นอุบาทว์ เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               12. โดยความเป็นภัย    เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               13. โดยความเป็นเป็นอุปสรรค เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               14. โดยความเป้นของหวั่นไหว เป็นอนิจจานุปัสสนา
               15. โดยความเป็นของผุพัง เป็นอนิจจานุปัสสนา
               16. โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน เป็นอนิจจานุปัสสนา
               17. โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               18. โดยความเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               19. โดยความเป็นของไม่เป็นที่พึง เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               20. โดยความเป็นของว่าง เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               21. โดยความเป็นของเปล่า เป็นอนัตตานุปัสสนา
               22. โดยความเป็นของสูญ เป็นอนัตตานุปัสสนา
               23. โดยความเป็นอนัตตา เป็นอนัตตานุปัสสนา
               24. โดยความเป็นโทษ เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               25. โดยความเป็นของแปรผันไปเป็นธรรมดา เป็นอนิจจานุปัสสนา
               26. โดยความเป็นของหาสาระมิได้ เป็นอนัตตานุปัสสนา
               27. โดยความเป็นมูลแห่งความทุกข์ เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               28. โดยความเป็นดังเพชฌฆาต เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               29. โดยความเป็นความเสื่อมไป             เป็นอนิจจานุปัสสนา
               30. โดยความเป็นของมีอาสวะ เป็นทุกขาเทนานุปัสสนา
               31. โดยความเป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง เป็นอนิจจานุปัสสนา
               32. โดยความเป็นเยื่อแห่งมาร เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               33. โดยความ เป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               34. โดยความเป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               35. โดยความเป็นของมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               36. โดยความ เป็นของมีความตายเป็นธรรมดา เป็นอนิจจานุปัสสนา
               37. โดยความ เป็นของมีความเศร้าโศกเป็นธรรมดา เป็นทุกขาเทนานุปัสสนา
               38. โดยความเป็นของมีความร่ำไรเป็นธรรมดา เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               39. โดยความเป็นของมีความคับแค้นใจเป็นธรรมดา เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
               40. โดยความเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา        เป็นทุกขาเวทนานุปัสสนา
(ขุ.ปฏิ., เล่ม 31, ข้อ 736, หน้า 568-570)
               เมื่อพิจารณาดังนี้แล้วย่อมคลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้เห็นความสัจธรรมตามความเป็นจริงจนมีปัญญาตัดกิเลสทั้งปวงได้ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นหลักในการศึกษาปฏิบัติตามแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นหลักที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้พุทธศาสนิกชน       ผู้เป็นพุทธมามกะได้ศึกษาปฏิบัติ และฝึกฝนอบรมสมาธิ ให้เกิดปัญญารู้เห็นสัจธรรมตามความเป็นจริง และ ให้เกิดปัญญาสามารถตัดกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงได้ขามพ้นการเวียนวายตายเกิด หมดภพชาติอันทำให้ต้องข้องอยู่ในสังสารวัฏอีกต่อไป แนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทนั้นเป็นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนาจนถึงปัจจุบัน พระภิกษุสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ผู้เป็นพุทธบริษัท ทั้งหลายก็ได้รับเอามาศึกษาปฏิบัติอยู่ดังเช่นในสมัยพุทธกาล แนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทเป็นแนวคิดพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้มีการศึกษาและการปฏิบัติโดยลำดับ เพื่อจุดประสงค์ในความบริสุทธิ์แห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา และเพื่อการตัดกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดภพเกิดชาติ ข้องติดอยู่ในวัฏสงสาร อันเป็นแดนเกิดของกองทุกข์ทั้งปวง การศึกษาปฏิบัติตามหลักแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท นั้นจัดว่าเป็นกิจ หน้าที่ในการศึกษาปฏิบัติ และฝึกอบรมของผู้ที่ยังเป็นเสขะบุคคลทั้งหลาย กล่าวคือผู้ที่ยังศึกษาอยู่ใน      อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา หรือผู้ที่ยังเป็นอริยบุคคลเบื้องต้น คือตั้งแต่             พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี จนกว่าเป็นพระอรหันต์จึงสิ้นสุดในการศึกษา ปฏิบัติ ฝึกฝนอบรม เพราะไม่มีกิ หน้าที่ที่ต้องศึกษา ปฏิบัติอีกต่อไปแล้ว ไม่มีความเพียรเพื่อละอีกต่อไป เพราะได้ทำลายกิเลสหมดสิ้นแล้ว ดังกล่าวนี้ผู้ที่ต้องศึกษา ปฏิบัติ เพื่อเพียรเผากิเลสอยู่จึงเป็นหน้าที่ของพระเสขะบุคคลนั้นเอง พระเสขะบุคคลมีหน้าที่ในการศึกษาปฏิบัติดังนี้
               1. ศึกษาสมาทานปฏิบัติใน อธิสีลสิกขา หรือปฏิบัติในสิกขาบทเกี่ยวกับความประพฤติ ในพระวินัย ในการถือนิสัย 4 ในอกรณียกิจ 4 ในธุดงค์วัตร 13 ในจุลศีล ในมัชฌิมศีล ในมหาศีล ในอินทรีย์สังวรศีล
               2. ศึกษาสมาทานประพฤติปฏิบัติ ในสมาธิ คือการฝึกอบรมจิต ให้เป็นสมาธิในระดับต่างๆ ไปจนถึงสมาธิในระดับฌาน เพื่อข่มกิเลส และนิวรณ์ พร้อมนำไปใช้งานด้านปัญญา
               3. ศึกษาสมาทานประพฤติปฏิบัติ ในปัญญา คือการฝึกฝนปัญญาให้รู้ตามความเป็นจริง หรือเห็นสัจธรรมตามความเป็นจริง จนสามารถตัด อวิชา คือความไม่รู้ตามความเป็นจริง อันเป็นเหตุให้เกิดสังสารวัฏหรือแดนเกิดอีกต่อไป ซึ่งนิยมศึกษาปฏิบัติใน สติปัฏฐาน 4 คือ พิจารณาตามดูกายในกาย พิจารณาตามดูเวทนาในเวทนา พิจารณาตามจิตในจิต พิจารณาตามดูสภาวธรรมที่เกิดขึ้น และดับไป พิจารณาสังขารโดยอาการต่างๆจนเกิดปัญญาตัดมูลเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ผู้ไม่มีกิจในการศึกษาปฏิบัติอีกต่อไป เป็นต้น
               สรุปได้ว่าแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทเป็นแนวคิดที่มีขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันก็ยังศึกษาปฏิบัติอยู่ดังเช่นสมัยพุทธกาล และมีการศึกษาสมาทานปฏิบัติตามลำดับดังเช่นสมัยพุทธกาลอยู่ เพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ จากกิเลสทั้งปวงต่อไป หน้าที่ในการศึกษา ปฏิบัติเป็นหน้าที่หลักของเสขะบุคคลทุกหมู่เหล่าในการศึกษา ปฏิบัติจนกว่าสามารถนำตนเข้าสู่อรหันตผล หรือพระอรหันต์จึงเป็นผู้ไม่ต้องศึกษา ปฏิบัติ เพียรเพื่อละ กำจัดกิเลสอีกต่อไปอีกเพราะพ้นจากการเวียนวายตายเกิดแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่ต้องศึกษา ปฏิบัติอีกต่อไป
                   
ประโยชน์ของแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท

          แนวคิดเรื่องธุระเป็นแนวคิดที่เน้นไปที่การศึกษาในคัมภีร์ ตำรา หรือพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นการศึกษาครบทั้ง 3 ด้าน คือ ในด้านอธิศีลสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตนเพื่อออกจากกองทุกข์ทั้งปวงคือการปฏิบัติในกรรมฐานได้แก่ สมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเป็นหลักปฏิบัติเพียรเพื่อฝึกอบรมสมาธิและปัญญา ให้มีความรอบรู้หรือรู้แจ้งตามความเป็นจริง ประโยชน์ของแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทนั้นมีมากมายผู้วิจัยจักได้กล่าวถึงดังต่อไปนี้


            3.1 ประโยชน์ของธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท
               ธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทธุระมีสำคัญลำดับแรกคือ คันถธุระเป็นธุระด้านการศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ ตำรา พระไตรปิฎก และจากการเทศนา การแสดงธรรม การบอกสอน ตามควรแก่ปัญญาความสามารถของตนแล้วทรงจำไว้ บอก สอน  ซึ่งพระพุทธพจน์นั้น การศึกษาปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยในพุทธปรัชญานั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจเป็นพื้นฐานเสียก่อนเพื่อให้เกิดมรรค ผลในการปฏิบัติได้ ดังนั้นการศึกษาเล่าเรียนทรงจำไว้ถือว่าช่วยให้มีความรู้ความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและสงบสุขได้ พุทธปรัชญาเถรวาทมีคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์หลักในการศึกษาแสวงหาความรู้ตามหลักธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาการศึกษานั้นช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนเปรียบเสมือนศึกษาแผนที่ เส้นทาง วิธีเดินทาง เพื่อที่ก้าวเดินไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง การศึกษาคัมภีร์ ตำรา หนังสือที่เกี่ยวข้องช่วยให้เห็นหนทางว่ามีจุดมุ่งอย่างไร มีวิธีเดินทางไปอย่างไร และในการเดินทางอาจพบปัญหาอย่างไร ทำให้เข้าใจปัญหาอุปสรรค์ที่อาจเกิดขึ้นได้อีกทั้งยังสามารถรู้หนทางแก้ปัญหานั้นได้ตรงจุดจึงป้องกันเกิดการสะดุดหรือหลงทางระหว่างเดินทางไปหาจุดมุ่งหมายดังในขุททกนิกาย มหานิทเทส ความว่า พึงศึกษา สิกขาทั้ง 3 คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
               อธิสีลสิกขาเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศีล คือสำรวมแล้วด้วยการสังวรในปฏิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรเห็นภัยในโทษแม้ประมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย คือสีลขันธ์น้อย สีลขันธ์ใหญ่ ศีลเป็นที่ตั้ง เป็นเบื้องต้น เป็นความประพฤติ เป็นความสำรวม เป็นความระวัง เป็นทาง เป็นประธาน เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่าอธิสีลสิกขา
               อธิจิตตสิกขาเป็นไฉน คือภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลกรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌานที่มีความผ่องใสในภายใน มีสภาวะจิตเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะสิ้นปีติไป บรรลุตติยฌานที่พระอาริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้ เธอบรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา เพราะละสุขละทุกข์ได้และเพราะสิ้นโสมนัสโทมนัสดับไปก่อนแล้วอยู่ นี้เรียกว่าอธิจิตตสิกขา
               อธิปัญญาสิกขาเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีปัญญาคือ ประกอบด้วยปัญญาอันให้ถึงความเกิดและความดับอันประเสริฐชำระกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ นี้เรียกว่าปัญญาสิกขา
(ขุ.มหา., เล่ม 29, ข้อ 10, หน้า 53 - 54)
               การศึกษาในคันถธุระมีประโยชน์มากเพราะเป็นหลักให้เกิดความประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องนำความสุขความเจริญมาให้แก่ผู้ศึกษาปฏิบัติ เช่นประโยชน์ของการศึกษาปฏิบัติในศีล สำรวมในปาฏิโมกข์ กล่าวคือช่วยให้ประพฤติปฏิบัติสำรวมกาย วาจา ใจ ไม่ให้เบียดเบียนคนอื่นและส่งเสริมให้เกิดความประพฤติตามคำสอนของศาสนา หรืออำนวยประโยชน์ต่อสังคมเต็มที่นั้น ก็ต่อเมื่อศาสนิชนมีความเข้าใจในปรมัตถสัจจ์ของจริยธรรมนั้นๆ มีศรัทธาและมีความเชื่ออันมั่นคง ดังที่อาจารย์สุลักษณ์ ศิวิรักษ์ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อมีความเข้าใจในปรมัตถสัจจ์ว่าเป็นความจริงสูงสุดแล้ว ก็สามารถจะอธิบายรหัสนัย คือข้อความลี้ลับของธรรมชาติได้ และประพฤติตามได้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระพุทธศาสนาย่อมให้ผลต่อสังคม คือส่งผลให้เกิดความปกติสุขการไม่เอารัดเอาเปรียบกันและกัน ดังข้อความที่กล่าวมากิจด้านการศึกษาปฏิบัติในพุทธปรัชญานั้นเมื่อศึกษาเข้าใจถูกต้องปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้วย่อมส่งผลให้เกิดประสุขแก่ตนเองและผู้อื่นอำนวยประโยชน์ได้รู้สัจธรรมซึ่งเป็นความจริงสูงสุดจนสามารถข้ามพ้นอวิชา คือความไม่รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง
(เฉลิมพล โสมอินทร์, 2546, 203)            
               ในอังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต เอกาทสกนิบาต ใจความดังนี้  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศีลที่เป็นกุศลมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์  พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสาร (ความไม่ ร้อนใจ)เป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสาร(ความไม่ ร้อนใจ) เป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์”  “อวิปปฏิสารมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” “อานนท์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์(ความบันเทิงใจ)เป็นผล มีปราโมทย์เป็น อานิสงส์” “ปราโมทย์มีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” “อานนท์ ปราโมทย์มีปีติ(ความอิ่มใจ)เป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์” “ปีติมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” อานนท์ ปีติมีปัสสัทธิ (ความสงบกายสงบใจ) เป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์” “ปัสสัทธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” “อานนท์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์” “สุขมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” “อานนท์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์” “สมาธิมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” “อานนท์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ ความเห็นตามความเป็นจริง) เป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์” “ยถาภูตญาณทัสสนะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” “อานนท์ ยถาภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทา (ความเบื่อหน่าย) วิราคะ (ความคลายกำหนัด) เป็นผล มีนิพพิทาและวิราคะเป็นอานิสงส์” “นิพพิทาและวิราคะมีอะไรเป็นผล มีอะไรเป็นอานิสงส์ พระพุทธเจ้าข้า” “อานนท์ นิพพิทาและวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็นในวิมุตติ) เป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ อานนท์ ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณ-ทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนะมี นิพพิทาและวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาและวิราคะเป็นอานิสงส์ นิพพิทาและวิราคะมี วิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ อย่างนี้ อานนท์  ศีลที่เป็นกุศล ย่อมทำอรหัตผลให้บริบูรณ์โดยลำดับ อย่างนี้แล” (องฺ.ทสก., เล่ม 24, ข้อ 1, หน้า 1-3)
               พระภิกษุสงฆ์ต้องศึกษาปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญาดังมาใน ขุทกนิกาย มหานิทเทส ใจความว่า คำว่าปัญญา ตรัสเรียกว่าโธนา (เครื่องกำจัด) ได้แก่  ความรู้ความรู้ทั่ว ความเลือกเฟ้น ความเลือกเฟ้นทั่ว ความเลือกเฟ้นธรรม ความกำหนัด ความเข้าไปกำหนัด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ความเป็นบัณฑิต ความเป็นผู้ฉลาด ความเป็นผู้มีปัญญารักษาตน ปัญญาเครื่องจำแนก ปัญญาเครื่องคิด ปัญญาเครื่องเข้าไปเห็น ปัญญาอันกว้างขวางดุแผ่นดิน ปัญญาเครื่องกำจัดกิเลส ปัญญาอันนำไปรอบ ปัญญาเครื่องรู้แจ้ง ความรู้สึกตัว ปัญญาเครื่องเจาะแทง ปัญญาเครื่องเห็นชัด ปัญญาเป็นกำลัง ปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอก ซึ่งกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่  เป็นต้น (ขุ.มหา., เล่ม 29, ข้อ 21, หน้า 102-103)
               การเจริญปัญญาก็เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิกำจัดทิฏฐิ มานะออกไปจากตัวตนและให้เกิด ปัญญา ดังในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค คือต้องมีปัญญาเป็นเครื่องชำระศีลให้บริสุทธิ์ไม่มีโทษก็เพราะอาศัยปัญญาเป็นเครื่องควบคุมความประพฤติทั้งทางกาย วาจา ให้ บริสุทธิ์ผุดผ่อง
(ที.สี., เล่ม 9, ข้อ 317, หน้า 191)
               ดังกล่าวมาแล้วการศึกษาในหลักคันถธุระคือการศึกษาภาคทฤษฎี กล่าวคือศึกษาในศีล สมาธิ และปัญญา หรือศึกษาในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์ที่บรรลุหลักธรรมวินัยในพุทธปรัชญาเถรวาท และคัมภีร์ ตำรา ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับด้านการศึกษาปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง การศึกษานั้นเป็นหลักแห่งการแสวงหาความรู้เพื่อละมิจฉาทิฏฐิ อันเป็นเหตุให้เกิดอัตตาตัวตนสำคัญผิดไปจากความเป็นจริงซึ่งเรียกว่าอวิชา ความไม่เห็นตามความเป็นจริง กล่าวคือไม่รู้ ทุกข์ เหตุเกิดของทุกข์ วิธีปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ และทางปฏิบัติเพื่อนำตนออกไปจากกองทุกข์ทั้งปวง ดังที่พุทธพจน์ว่า ละธรรม 10 อย่างไม่ได้ยังไม่ควรเป็นพระอรหันต์ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม 10 อย่างไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้แจ้งซึ่งอรหันตผล คือ
               1. ราคะ ความกำหนัดยินดี
               2. โทสะ ความคิดประทุษร้าย
               3. โมหะ ความหลง
               4. โกธะ ความโกรธ
               5. อุปนาหะ ความผูกโกรธ
               6. มักขะ ความลบลู่บุญคุณท่าน
               7. ปลาสะ ความตีเสมอ
               8. อิสสา ความริษยา
               9. มัจฉริยะ ความตระหนี่
               10. มานะ ความถือตัว
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลยังละธรรม 10 เหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรทำให้แจ้งซึ่งอรหันตผล ดังกล่าวมาข้างต้นนั้นก็คือหลักในการศึกษาในคันถธุระ กล่าวคือต้องศึกษาเล่าเรียนจนเกิดความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิก่อนแล้วจึงสามารถปฏิบัติเพื่อออกจากกองทุกข์ได้เมื่อมีการศึกษาปฏิบัติดีแล้วย่อมละธรรม 10 อย่างข้างต้นนี้ได้ (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2550, หน้า 76)
               อาจกล่าวได้ว่าคันถธุระนั้นเป็นหลักในการศึกษาเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ กล่าวคือเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงนั้นเองและนำไปสู่การปฏิบัติตนใน 3 ด้าน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังในทีฆนิกาย มหาวรรคใจความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่แม้ที่เขาคิชฌกูฏใกล้พระนครราชคฤห์ ก็ทรงธรรมมีกถานี้และเป็นอันมากแก่ภิกษุว่า “ศีลเป็นดังนี้ สมาธิเป็นดังนี้ ปัญญาเป็นดังนี้ สมาธิอันศีลอบรมดีแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันสมาธิอบรมดีแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะ คือ กามาสวะ (อาสวะคือกาม หมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) ภวาสวะ (อาสวะคือ ภพ ) อวิชาสวะ (อาสวะคือ อวิชา หมายถึงความไม่รู้ตามความเป็นจริงหรือไม่รู้อริยสัจ 4) โดยชอบที่เดียว
(ที.ม., ข้อ 142, หน้า 116)
               ดังกล่าวมาแล้วจักเห็นได้ว่าสิกขานั้นเป็นเป็นกิจหน้าที่ในการศึกษาปฏิบัติหรือกล่าวได้ว่าประโยชน์ของการศึกษาก็เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐินั้นเองส่วนอานิสงส์ต่างๆ นั้นจักได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไปจากการศึกษาผู้วิจัยได้สรุปประโยชน์ของหลักคันถธุระไว้ดั้งนี้
               1. ทำให้ได้รู้เรื่องราวต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์
               2. ทำให้รู้หลักธรรมต่างๆทั้งหลักความประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลและธรรมต่างๆในพุทธปรัชญาเถรวาท
               3. ทำให้รู้หลักประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงาม
               4. ทำให้รู้วินัยปฏิบัติตามสถานภาพของตนได้ถูกต้องเหมาะสม
               5. ทำให้รู้บทบาทหน้าที่ในการปฏิบัติตนได้ถูกต้องเหมาะสม
               6. ทำให้เข้าใจหลักการจุดมุ่งหมายในพุทธปรัชญาเถรวาท
               7. ทำให้ไม่ถือผิดเข้าใจผิดจากหลักความเป็นจริงทางพุทธปรัชญาเถรวาท
               8. เป็นการช่วยเผยแผ่พุทธปรัชญาเถรวาทให้แก่ผู้ใคร่สนใจศึกษาปฏิบัติตาม
               9. ช่วยสืบต่ออายุพุทธปรัชญาเถรวาทให้ดำรงอยู่ให้ชนรุ่งหลังได้ศึกษาปฏิบัติตาม
               10. ส่งเสริมให้เกิดการศึกษาเรียนรู้หลักความประพฤติปฏิบัติคือปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ที่ดีงามแก่ตนเองและสังคม
               11. นำไปสู่การลงมือปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากกองกิเลสทั้งปวงได้
               12. นำไปสู่ความพ้นทุกข์ในปัจจุบันและอนาคตได้




            3.2 ประโยชน์ของแนวคิดเรื่องวิปัสสนาธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท
               วิปัสสนาธุระนั้นมีประโยชน์มากแก่ผู้ปฏิบัติทั้งที่เป็นสมถกรรมฐาน คือทำให้เกิดสมาธิตั้งมั่น ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มีสัมปชัญญะรู้ตัวทุกขณะในการทำกิจต่างๆทั้งทางโลกและทางธรรม วิปัสสนากรรมฐานส่งเสริมให้เกิดปัญญารอบรู้ ทันต่อเหตุปัจจัยต่างๆที่ปรุงแต่ง และสามารถตัดกิเลสได้ ดังนั้นผู้มีวิจัยจึงกล่าวถึงประโยชน์ของวิปัสสนาธุระดังนี้        
            ประโยชน์ของวิปัสสนาธุระ ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน คือ ทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงที่มีอยู่ได้แก่เห็นรูปนามมีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนิจังเป็นอนัตตา สามารถทำหลายอาสวะกิเลส คือตัณหา มานะ ทิฏฐิ อันเป็นมูลเหตุของสงสารวัฏ และประหารวิปัลลาสธรรมชำระกิเลสให้หมดสิ้นไป อานิสงส์ของการเจริญวิปัสสนาธุระ คือ
               1. มีสติมั่นคง ไม่หลงทำการกิริยา ทำหลายอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองได้
               2. มีสติ คือมีมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในเบื้องหน้าเป็นที่หวังได้
               3. เป็นปัจจัยให้บรรลุอรหันต์และเข้าถึงพระนิพพานได้
               4. ถ้ามีอุปนิสัยจักได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ ก็ย่อมได้บรรลุมรรคผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานในปัจจุบันชาติที่เดียว (พระมหาสมบัตร ฐิตญาโณ, 2548, หน้า 46-47)
               ประโยชน์ในการพิจารณาสติปัฏฐาน 4 นั้นสามารถพิจารณาได้ทุกอิริยาบถคือ เดิน ยืน นั่ง และนอน เช่นเดียวกันกับสมถกรรมฐาน การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จัดอยู่ในประเภท โลกุตรธรรมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการใช้สมาธิเพื่อพิจารณาความจริงของชีวิต ต้องทำความเข้าใจในรูปนาม อายตนะทั้งภายนอกภายใน เพื่อทำความเข้าใจถึงอาการเกิด ดับ ของจิต เพื่อมองให้เห็นแจ่มชัดถึงความจริง เพื่อไม่ทำให้หลงผิดไปยึดติดว่าเป็นตัวตนของเรา การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่พระพุทธศาสนากล่าวถึงมากที่สุด ได้แก่ การพิจารณาสติปัฏฐาน 4 คือ การพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม เพราะว่ามีผลมากและมีอานิสงส์มาก ง่าย สะดวกที่จะปฏิบัติได้ในทุกโอกาส  ทุกอิริยาบถ (วิ.มหาวิ., เล่ม 11, ข้อ 306, หน้า 284)
            วิปัสสนาธุระดังที่กล่าวมามีประโยชน์มากเพราะสามารถกำจัดกิเลสเข้าสู่พระนิพพานได้ซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดของพุทธปรัชญาเถรวาทที่มุ่งศึกษาปฏิบัติเพื่อความหลุดจากกองทุกข์ทั้งปวงและเข้าสู่บรมสุขคือกำจัดทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงนั้นเอง



               3.3 ประโยชน์ของแนวคิดเรื่องธุระแก่พระภิกษุสงฆ์ในพุทธปรัชญาเถรวาท          
               พระภิกษุสงฆ์เป็นพุทธบริษัทหนึ่งในพุทธบริษัทสี่พระภิกษุสงฆ์ถือได้ว่าเป็นผู้สืบทอดพุทธปรัชญาเถรวาทให้ดำรงอยู่และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นเพื่อดำรงพุทธปรัชญาเถรวาทไว้ให้ครบ 5,000 ปี พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ศึกษาปฏิบัติตามหลักธุระโดยตรงเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ และความสามารถในการปฏิบัติตนให้ดีงามเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้ที่มีศรัทธาได้ประพฤติปฏิบัติตาม ประโยชน์ของแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทแก่พระภิกษุสงฆ์มีมากมายผู้วิจัยสามารถสรุปได้ดังนี้
               ประโยชน์แก่พระภิกษุสงฆ์ในการศึกษาปฏิบัติตามหลักคันถธุระ
               คันถธุระถือกิจหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ในพุทธปรัชญาเถรวาทจำเป็นต้องปฏิบัติตามทั้ง 3 ด้าน คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพื่อให้เกิดความรู้ความสามารถในการนำไปประพฤติปฏิบัติตนต่อตนเองและสังคมหมู่คณะเพื่อไม่ให้ถูกติเตียนนินทาจากหมู่คณะและพุทธบริษัทอื่นและเพื่อความผาสุกของคณะสงฆ์และการรับว่าดีงามของพุทธบริษัทอื่นเพื่อความเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้นของบุคคลผู้พบเห็น พระภิกษุสงฆ์นั้นเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยรักษาพระธรรมวินัยในพุทธปรัชญาเถรวาทให้ดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองอีกทั้งยังเป็นแบบอย่างของความประพฤติปฏิบัติในเรื่องศีลธรรม การดำรงชีพด้วยการรู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย 4 อย่างพอเพียง การปฏิบัติด้านคันถธุระของพระภิกษุสงฆ์มีประโยชน์ต่อพระภิกษุสงฆ์ที่ประพฤติปฏิบัติเองและสังคมอื่นอีกด้วย
            ประโยชน์แก่พระภิกษุสงฆ์ในการปฏิบัติวิปัสสนาธุระ
            ประโยชน์ของวิปัสสนานั้นทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ได้แก่เห็นรูป นามมีสภาวะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มิใช่ว่าวิปัสสนาทำขึ้นมาให้เห็น หรือไปนั่งวิปัสสนาแล้วสร้างไตรลักษณ์ขึ้นมา ให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นอนัตตาอย่างนี้ก็หาไม่ เพราะว่าเห็นรูปนามที่เป็นไตรลักษณ์นั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เฝ้าดูจึงไม่เห็น หรือเฝ้าดูแต่ทำไม่ถูก ก็ไม่เห็นเช่นเดียวกัน และทำลายอาสวะกิเลสได้แก่ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อันเป็นมูลของสังสารวัฏ และ ประหารวิปลาสธรรมทำหลายกิเลสให้หมดสิ้นไป ความมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ต่างๆ กันในการเจริญวิปัสสนา หรือสมาธิภาวนามี 4 อย่าง คือ 1. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหารในปัจจุบัน คือ เพื่อความพักผ่อนจิต เป็นต้น) 2. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้วเป็นไปเพื่อการได้ญานทัสสนะ (มีความรู้เห็นในความหลุดพ้น) 3. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อสติ (ความตั้งมั่น) และสัมปชัญญะ (ความรู้ตัว) 4. สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวกิเลส (1.กาม ได้แก่ ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ  2. ภพ ได้แก่ ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ 3. มิจฉาทิฏฐิ ได้แก่ ความเห็นผิด ความหัวดื้อหัวรั้น 4. อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงมัวเมา)
(สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2550, หน้า 540)
            การศึกษาและปฏิบัติถือกิจหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ในพุทธปรัชญาเถรวาทเพื่อฝึกฝนอบรมตน ทางกาย วาจา หรือศีลให้บริบูรณ์ เพื่อให้รับว่าดีของสงฆ์ผู้ประพฤติดีประพฤติชอบเพื่อให้เกิดความผาสุกของหมู่คณะและสร้างความศรัทธาเลื่อมใสแก่พุทธบริษัทผู้พบเห็น จึงกล่าวได้ว่าการประพฤติในการงดเว้นและสำรวมกาย วาจา นั้นก็เพื่อไม่ให้ถูกติเตียนจากหมู่คณะและจากพุทธบริษัทอื่นเป็นการสร้างศรัทธาเลื่อมใสแก่ผู้ที่พบเห็นและป้องกันความเลวทรามหาเลี้ยงชีพไม่สุจริตนั้นเอง การปฏิบัติสมาธิถือเป็นกิจสำคัญของพระภิกษุสงฆ์เพราะช่วยส่งเสริมให้เกิดสติมีสมาธิตั้งมั่นพร้อมใช้งานด้านปัญญานั้นเอง

                3.4 ประโยชน์และอานิสงส์ต่างๆ ของการศึกษาปฏิบัติตามหลักธุระในพุทธปรัชญาเถรวาท
อานิสงส์ของศีล
            อานิสงส์แห่งศีลสมบัติ มี 5 ประการ
               1. คนมีศีลผู้ถึงพร้อมด้วยศีลในโลกนี้ย่อมได้กองโภคทรัพย์ใหญ่หลวงเพราะเหตุแห่งความไม่ประมาท
               2. ชื่อเสียงอันดีงามของผู้มีศีลผู้ถึงพร้อมด้วยศีลย่อมฟุ้งขจรไป
               3. คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีลเข้าไปยังบริษัทใดๆ ไม่ว่าจะเป็นขัตติย พราหม คฤหบดี สมณ ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ขวยเขินไปยังบริษัทนั้นๆ
               4. คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีลย่อมเป็นผู้ไม่หลงทำกาละ
               5. คนมีศีลถึงพร้อมด้วยศีลหลังจากตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
(ม.มู., เล่ม 11, ข้อ 150, หน้า 122-123)
               อานิสงส์ของสีลานุสติ 10 ประการ คือ
               1. ย่อมเป็นผู้มีความเคารพในการศึกษาในเรื่องศีล
               2. มีความประพฤติเหมาะสม
               3. ปราศจากภัย
               4. มีปกติเห็นโทษแม้แต่เล็กน้อย
               5. ได้ความไพบูรณ์แห่งคุณมีสัทธาคือความเชื่อในศีลมากขึ้น
               6. มีสติในศีลไพบูรณ์ในศีลมากขึ้น
               7. มีปัญญารู้จักศีลมากขึ้น
               8. มีสันดานผ่องใสมากขึ้น
               9. มีความปลื้มใจมากขึ้น
               10. เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
(พระธรรมธีรราชมหามุนี, 2531, หน้า 33)
               พระพุทธเจ้ายังทรงตรัสอานิสงส์แห่งศีลแก่พระอานนท์ ไว้ 10 อย่าง
               1. ความไม่เดือดร้อน
               2. ความบันเทิงใจ (ความปราโมทย์)
               3. ความปลื้มใจ (ปีติ)
               4. ความระงับ (ปัสสัทธิ)
               5. ความสุข
               6. สมาธิ
               7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญานตามความเป็นจริง
               8. นิพพิทา (ความเบื่อหน่าย)
               9. วิราคะ (คลายความกำหนัด)
               10. วิมุตติญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญานถึงความบริสุทธิ์)
               ตรัสว่าธรรมเหล่านี้ย่อมไหลมา ย่อมทำธรรมะให้เต็ม เพื่อบรรลุธรรมะที่ยิ่งๆ ขึ้นไปสำหรับพระภิกษุผู้มีศีล ส่วนพระภิกษุผู้ทุศีลตรงกันข้าม (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2550, หน้า 584)  
อานิสงส์ของสมาธิ
               อานิสงส์ของการกำหนด
               1. จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ (ขณิกสมาธิ)
               2. เกิดสติสัมปชัญญะละอัตตาตัวตน
               3. สั่งสมเหตุปัจจัย เพื่อเว้นไกลจากกิเลส
               4. รู้ถ้วนทั่วอย่างวิเศษ ในปัจจุบันขณะ
               5. ละความเกียจคร้าน สะสมญาณหยั่งรู้
               6. กอบกู้อิสรภาพกำราบกิเลส
               อานิสงส์ของการนั่งกำหนด
               1. จิตตั้งมั่น และเป็นสมาธิได้ง่าย
               2. สภาวธรรมปรากฏค่อนข้างชัดเจน
               3. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัดเจน
               4. เป็นอิริยาบถที่อื้อต่อการบรรลุ มรรค ผล นิพพานได้มากกว่าอิริยาบถอื่น ๆ
               5. เป็นอิริยาบถที่รวมความพร้อม เพื่อการบรรลุธรรมในขั้นต่าง ๆ กระทั่งสูงสุด
               อานิสงส์ของการยืนกำหนด
               1. ทำให้การกำหนดเกิดความต่อเนื่องกัน
               2. จิตเป็นสมาธิได้ค่อนข้างง่าย
               3. ทุกขเวทนามีน้อย ใช้พื้นที่น้อยในการกำหนด
               4. ทำลายบัญญัติของรูปยืน เป็นสภาพรู้อาการ
               5. ทำให้เข้าใจสภาพของเหตุปัจจัย อันอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
               อานิสงส์ของการเดินจงกรม 5 ประการ
               1. อดทนต่อการเดินทางไกล
               2. อดทนต่อการกระทำความเพียร
               3. ช่วยย่อยอาหาร
               4. ช่วยขับลมออกจากตน
               5. ทำสมาธิให้ดียิ่งขึ้น
               อานิสงส์ของการกำหนดอิริยาบถย่อย
               1. ปิดช่องว่างการกำหนด ในอิริยาบถอื่น ๆ
               2. ทำให้การกำหนดมีความต่อเนื่องไม่ขาดสาย
               3. วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เกื้อกูลกันค่อนข้างมาก
               4. ส่งเสริมให้อินทรีย์ 5 เท่ากัน (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา)
               5. มีความรอบคอบ ไม่หลงลืม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในด้านอื่น ๆ ด้วย
               อานิสงส์ของการนอนกำหนด
               1.ช่วยให้หลับง่าย เพราะไม่กังวล
               2. จิตเป็นสมาธิได้ง่าย
               3. เป็นการพักผ่อน และเป็นการเชื่อมโยงอิริยาบถอื่น ๆ ให้สม่ำเสมอ
(สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2550, หน้า 541)
               อานิสงส์ของผู้หลับโดยมรสติสัมปชัญญะ
               1. หลับเป็นสุข
               2. ตื่นเป็นสุข
               3. ไม่ฝันร้าย
               4. เทวดารักษา
               5. น้ำอสุจิไม่เคลื่อน (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2550, หน้า 69)
               อานิสงส์ของการปฏิบัติกสิณ 10 มีอานิสงส์ 7 ประการ
               1. ได้อภิญญา 5
               2. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
               3. ทิพพโสต มีหูทิพย์
               4. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
               5. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
               7. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์ และ อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไปของพระอริยบุคคล
               8. มีทิฏฐิธรรมสุขวิวาร คือ
                    8.1 อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่นขยันหมั่นเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง อันเป็นอุบายในการงานนั้น ให้สามารถทำได้สำเร็จ
                    8.2 อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ (ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม) เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ไม่ให้ถูกลัก หรือทำลายไปโดยภัยต่างๆ
                    8.3 กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคบชั่ว อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา
                    8.4 สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
               9. มีวิปัสสนาเป็นอานิสงส์
               10. มีภพวิเศษ คือ โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก
               11 มีนิโรธเป็นอานิสงส์ คือ ความสำรอกออก สลัดทิ้ง ดังนี้
                    11.1 วิกขัมภนนิโรธ ดับด้วยข่มไว้ คือ การดับกิเลสของท่านผู้บำเพ็ญฌาน ถึงปฐมฌานขึ้นไป ย่อมข่มนิวรณ์ไว้ได้ ตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น
                    11.2 ตทังคนิโรธ ดับด้วยองค์นั้นๆ คือ ดับกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ หรือธรรมที่ตรงข้าม เช่น ดับสักกายทิฏฐิด้วยความรู้ที่กำหนดแยกรูปนามออกได้ เป็นการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ
                    11.3 สมุจเฉทนิโรธ ดับด้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด ด้วยโลกุตตรมรรค ในขณะแห่งมรรคนั้น ชื่อ สมุจเฉทนิโรธ
                    11.4 ปฏิปัสสัทธินิโรธ ดับด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรค ดับกิเลสเด็ดขาดไปแล้ว บรรลุโลกุตตรผล กิเลสเป็นอันสงบระงับไปหมดแล้ว ไม่ต้องขวนขวายเพื่อดับอีก ในขณะแห่งผลนั้น ชื่อ ปฏิปัสสัทธินิโรธ
                    11.5 นิสสรณนิโรธ ดับด้วยสลัดออกได้ หรือดับด้วยปลอดโปร่งไป คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นแล้ว ดำรงอยู่ในภาวะที่ดับกิเลสแล้วนั้น ยั่งยืนตลอดไป ภาวะนั้นชื่อนิสสรณนิโรธ ได้แก่อมตธาตุ คือ นิพพาน
               12. อานิสงส์อื่นๆ เช่น ศึกษาเล่าเรียนได้ดี ทำให้โรคภัยบ้างชนิดหายเป็นต้น
(นายอภิราษฎร์ ปรีชาจารย์, 2546, หน้า 57)         
               อานิสงส์การเจริญเมตตาพรหมวิหาร
               1. นอนเป็นสุข
               2. ตื้นเป็นสุข
               3. ไม่ฝันร้าย
               4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
               5. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
               6. เป็นที่รักของเทวดา
               7. ไฟ ยาพิษ อาวุธ กล้ำกรายไม่ได้
               8. จิตตั้งมั่นได้เร็ว
               9. มีสีหน้าผ่องใส
               10 ไม่หลงตาย
               11. หากไม่บรรลุโลกุตตระจักเขาถึงพรหมโลก (ขุ.ปฏิ., เล่ม 31, ข้อ 574, หน้า 438)
               อานิสงส์การเจริญอสุภะกรรมฐาน
               1. ย่อมได้สัญญาอื่น คืออนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยง) หรืออนัตตสัญญา (ความสำคัญว่าหาอัตตาไม่ได้)
               2. ข่มความยินดียินร้าย
               3. เป็นผู้อดทดทนต่อความร้อนความหนาวเป็นอย่างดี
               4. หลังตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
               อานิสงส์การเจริญมรณัสติ
               1. ละความมัวเมาในชีวิต
               2. เป็นผู้ติเตียนบาป
               3. ปราศจากความตระหนี่
               4. ได้ความสำคัญว่าไม่เที่ยงเสมอ
               5. ไม่กลัวตาย
               6. ถ้าหากว่าปรารภความตายอย่างตั้งใจอย่างต่อเนื่องก็สามารถเข้าถึงอุปจารฌาน
               7. หากไม่บรรลุธรรมเบื้องสูงย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง
               8. ย่อมทำให้ผู้เจริญไม่ตั้งอยู่ในความประมาท
               9. ย่อมไม่ยินดีในภพทั้งปวง
               10. ย่อมละความใคร่ในชีวิต ไม่คิดสะสมทรัพย์ภายนอก ได้อนิจจสัญญา (รับรู้ความไม่เที่ยง) เมื่อถึงเวลาตายย่อมไม่เป็นทุกข์เพราะหลงลืมสติ
(อาจารย์ปัญญา ใช้บางยาง ในนาม ธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม, 2548, หน้า 65)
               อานิสงส์ของการเจริญจตุธาตุวัฏฐาน
               1. ย่อมเข้าถึงสุญญตา (ความว่างจากตัวตน) ถอนสัตตสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นสัตว์บุคคล) ได้เพราะทุกสิ่งเป็นเพียงธาตุ 4 เท่านั้น
               2. ข่มความกลัวภัยต่างๆ ได้
               3. ข่มความยินดีและยินร้ายได้ เพราะจิตมั่นคงไม่ขึ้นต่ออารมณ์ทั้งดีและไม่ดี
               4. เป็นผู้มีปัญญามาก เพราะมากด้วยการพิจารณา
               5. ตายแล้วเข้าถึงสุขคติโลกสวรรค์
               อานิสงส์ของอานาปานสติ
               1. ทำให้จิตสงบ ประณีต สงบ
               2. กำจัดอกุศลวิตกทั้งหลาย ที่ทำให้จิตฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ได้
               3. เป็นมูลเป็นปัจจัยให้วิชาและวิมุตติบริบูรณ์
               4. ทำให้รู้ว่าอายุสังขารจักดับลงเมื่อใด
               5. สามารถตัดเสียซึ่งวิตก มีกามวิตกเป็นต้นเพราะเป็นธรรมอันละเอียดและประณีต
               6. เป็นธรรมเครื่องพักอยู่อันละมุนละไม และเป็นสุข
               7. เจริญให้มากทำให้มากย่อมยังสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์ได้
               8. หลับเป็นสุขไม่ดิ้นรน
               9. ตื่นก็เป็นสุขคือ ใจเบิกบาน
               10. มีร่างกายสงบเรียบร้อย
               11. มีหิริโอตตัปปะ
               12. น่าเลื่อมใส
               13. มีอัธยาศัยประณีต
               14. เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
               15. ถ้ายังไม่แตกกายทำลายขันธ์ก็มีสุขติโลกสวรรค์ไปเป็นเบื้องหน้า
               16. ผ่อนคลาย จิตสงบ (นางฐิติรัตน์ รักษ์ใจตรง, 2548, หน้า 26-27)
               อานิสงส์สมาธิในการเจริญพรหมวิหาร 4
               1. หลับก็เป็นสุข
               2. ตื้นก็เป็นสุข
               3. ไม่ฝันร้าย
               4. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
               5. เป็นที่รักของอมนุษย์
               6. เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา
               7. ไฟ ยาพิษ ดาบ และไม้ตะบองทำอันตรายไม่ได้
               8. ทำจิตให้เป็นสมาธิได้เร็ว
               9. มีใบหน้าผ่องใส
               10. ไม่หลงสติในเวลาตาย
               11. ถ้ายังไม่บรรลุธรรมสูงสุดย่อมบังเกิดในพรหมโลก
(พระมหาอำนวย อานนฺโท, 2552, หน้า 56-65)
               อานิสงส์ของสมาธิในการเจริญตามแนวสติปัฏฐาน 4
               1. ทำให้สุขภาพทางร่างกาย และจิตใจดีขึ้น
               2. ทำให้จิตใจเบิกบาน เอิบอิ่ม แช่มชื่น
               3. ความวิตกกังวล และความเครียดลดลงอย่างมาก
               4. เป็นผู้มีสติรู้เท่าทัน มีความผิดพลาดน้อย (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2550, หน้า 337)
               5. มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ต่าง ๆ ดีขึ้น
               6. ไม่ตกใจกลัว เพราะเจริญสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ
               7. มีความกล้าหาญ ในการกระทำคุณงามความดีอย่างสม่ำเสมอไม่ท้อถอยเบือหน่าย
               8. ความยึดมั่นถือมั่นลดลง เพราะเข้าใจในสภาพที่แท้จริงของชีวิต (ขันธ์ 5)
               9. สามารถทำลายความโลภ (อภิชฌา) ความโกรธ (โทมนัส) ให้ลดลง หรือหมดไปได้
               10. ชื่อว่าเป็นการเตรียมความพร้อม และได้สะสมเหตุปัจจัย เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจ 4 อันนำไปสู่การบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ซึ่งเป็นที่สิ้นไปแห่งกิเลส
               อานิสงส์ของการเจริญกายคตาสติกรรมฐาน
               พระพุทธเจ้าแสดงอานิสงส์ คือ ผลที่ผู้ปฏิบัติพึงได้รับจากปฏิบัติกายคตาสติกรรมฐาน มี 10 อย่าง
               1. เป็นผู้อดกลั่นต่อความไม่ยินดี และ ยินดีได้ ไม่ถูกความไม่ยินดีครอบงำ ย่อมครอบงำความไม่ยินดีที่เกิดขึ้นแล้วได้
               2. เป็นผู้อดกลั่นต่อภัยและความหวาดกลัวได้ ไม่ถูกภัยและความหวาดกลัวครอบงำ ย่อมครอบงำภัยและความหวาดกลัวแล้วได้
               3. เป็นผู้อดทนต่อความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความถูกเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลายรบกวน ต่อถ้อยคำหยาบคายร้ายแรงต่างๆ เป็นผู้อดกลั้นเวทนาอันมีในร่างกายที่เกิดขึ้นแล้วเป็นทุกข์ กล้าแข็ง แผดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ พรากชีวิตได้
               4. เป็นผู้ได้ฌาน 4 ซึ่งเป็นอาภิเจตสิก เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน เป็นผู้ได้ความปรารถนาโดยไม่ยาก โดยไม่ลำบาก
               5. บรรลุวิธีแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวแสดงเป็นหลายคนได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลก เป็นต้น
               6. ได้ยินเสียง 2 ชนิด คือ 1. เสียงทิพย์ 2. เสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยหูทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2550, หน้า 48)
               7. กำหนดรู้ใจของบุคคลอื่นและสัตว์อื่น คือ มีจิตราคะ ก็รู้ชัดว่ามีจิตราคะ โมสะ และโมหะก็รู้ชัด หรือจิตที่ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ จิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นสมาธิ ไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัด เป็นต้น
               8. ระลึกชาติก่อนได้ คือ 1 ชาติบ้าง 2 ชาติบ้าง และระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ พร้อมลักษณะทั่วไป และชีวประวัติอย่างนี้ เป็นต้น
               9. เห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ (ถือกำเนิด) ทั้งชั้นต่ำและชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์
               10. เพราะอาสวะสิ้นไป ย่อมทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน (นางทัศนี วงศ์ยืน, 2550, หน้า 57-58)
               อานิสงส์การเจริญพุทธานุสติ
               1. ย่อมเป็นผู้มีความเคารพ มีความเกรงใจในศาสดา
               2. มีความไพบูรณ์ แห่งศรัทธา สติปัญญาและบุญ
               3. เป็นผู้มากด้วยปิติปราโมทย์
               4. มีความอดทนอดกลั่นต่อทุกขเวทนาได้
               5. มีความไม่หวั่นไหวแม้จะประสบกับอารมณ์ที่น่ากลัว
               6. ได้ความสำคัญตนว่ากำลังอยู่กับศาสดา         
               7. เมื่อประสบกับเหตุอันอาจทำให้เกิดการละเมิดศีล ก็ย่อมเกิดหิริโอตตัปปะ ดุจดังเห็นพระศาสดาประทับอยู่เบื้องหน้าย่อมระงับความชั่วได้
               8. เมื่อได้ปรารภวิปัสสนาต่อ แม้จะไม่สำเร็จมรรค ผล ในชาตินี้ก็ย่อมเป็นผู้มีสุคติเป็นที่หวังในชาติหน้า
               9. ย่อมเป็นเป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในพระผู้มีพระภาคเจ้า
               10. ย่อมบรรลุถึงความไพบูลย์ด้วยศรัทธา ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยบุญกุศล เป็นผู้มากด้วยปีติและปราโมทย์ กำจัดเสียซึ่งโทษภัยอันน่ากลัว สามารถอดกลั่นต่อทุกขเวทนาได้
               11. ย่อมได้ความมั่นใจว่าอยู่ร่วมกับพระศาสดา
               12. แม้สรีระร่างกายของผู้ที่เจริญพุทธานุสติย่อมกลายเป็นสิ่งที่ควรเคารพบูชา เป็นเสมือนเรือนเจดีย์สถานจิตของผู้นั้นย่อมน้อมไปสู่พุทธภูมิ
               13.  แม้ไม่สามารถแทงตลอดคุณวิเศษยิ่งๆ ขึ้นไปในชาตินี้ก็เป็นผู้มีสุขคติเป็นเบื้องหน้า
(ปัญญา ใช่บางยาง ในนามธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม, 2548, หน้า 201)
            อานิสงส์การแผ่เมตตา 11 ประการ
               1.หลับเป็นสุข)
               2. ตื่นเป็นสุข
               3. ไม่ฟันร้าย
               4. เป็นที่รักของมนุษย์
               5. เป็นที่รักของอมนุษย์
               6. เทวดาย่อมรักษา
               7. ไฟ ยาพิษ หรือ ศัสตรา ไม่กล้ำกราย
               8. จิตย่อมเป็นสมาธิเร็ว
               9. สีหน้าผ่องใส
               10. ตายแบบมีสติ
               11. เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษชั้นสูงขึ้นไป ย่อมเข้าถึงพรหมโลก
(พระครูประคุณสรกิจ, 2537, หน้า 88)


               อานิสงส์การเจริญสมาธิในชีวิตประจำวัน
               1. ใช้ช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย หายเครียด เกิดความสงบ หายกระวนกระวาย ยั้งหยุดจากความกลัดกลุ้มวิตกกังวล เป็นเครื่องพักผ่อนกาย ให้ใจสบายและมีความสุข
               2. เป็นเครื่องเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน การเล่าเรียน การทำกิจทุกอย่าง เพราะที่เป็นสมาธิแนวแน่กับสิ่งที่กำลังกระทำ ไม่ฟุ้งซ่าน วอกแวก ไม่เลื่อนลอยเสีย ย่อมช่วยให้เรียน ให้คิด ให้ทำงานได้ผลดี การทำงานก็เป็นไปโดยรอบคอบได้ผลดี และป้องกันอุบัติเหตุได้ดี เพราะเมื่อมีสมาธิก็ย่อมมีสติกำกับอยู่
               3. ช่วยเสริมสุขภาพกายและใช้แก้โรคได้ ร่างกายกับจิตอาศัยกันและมีอิทธิผลต่อกัน ปุถุชนทั่วไปเมื่อกายไม่สบายจิตใจก็พลอยอ่อนแอเศร้าหมองขุนมัว ครั้นเสียใจก็ยิงไม่มีกำลังใจ ก็ยิ่งซ้ำให้โรคทางกายทรุดหนักลงไปอีก แม้ในเวลาที่ร่างกายเป็นปกติ พอประสบเรื่องราวให้เสียใจรุนแรง ก็ลมป่วยเจ็บไขไปได้ (พระธรรมปิฎก, หน้า 22-24)
อานิสงส์ของปัญญา
               ประโยชน์ในปัจจุบันจากการเจริญวิปัสสนา
               1. ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น
               2. ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
               3. โรคภัยไข้เจ็บน้อยลง
               4. จิตใจแข็งแกรงมากขึ้นสามารถควบคุ่มจิตใจให้คิดไปในทางที่ดีเป็นกุศลธรรม
               5. มีสติในการไตร่ตรองอย่างสุขุมรอบคอบ
               6. มีความจำดีขึ้น
               7. สามารถระงับความฟุ้งซ่านของจิตได้
               8. มีความสามารถแก้ไขปัญหาชีวิตด้วยเหตุผล
(พระมหาสุธน ยสสีโล, 2541, หน้า 54-55)
               ประโยชน์ที่สำคัญของการเจริญวิปัสสนา
               1. ทำให้นักปฏิบัติเข้าใจธรรม ทั้งด้านปริยัติ และด้านปฏิบัติ ละเอียดลออยิ่งขึ้น
               2. ทำให้มีกำลังใจเข็มแข็ง มีความขยัน มีความอดทน
               3. พัฒนาจิตให้รู้จักเสียงสละมากขึ้นเห็นแก่ส่วนรวม
               4. ทำให้สติดีขึ้น ความจำดีขึ้น
               5. เป็นมหากุศลเป็นบุญที่ผู้ปฏิบัติได้ลงมือปฏิบัติ
               6. ได้บำเพ็ญบารมี ได้สร้างบารมี (พระมหาพงศกรฐ์ จิตวํโส, 2554, หน้า 111-112)
               อานิสงส์ของวิปัสสนากรรมฐาน
            1. มีสติมั่นคงไม่หลงทำกาลกิริยา
               2. มีสติ คือมีมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในเบื้องหน้า
               3. เป็นอุปนิสัยให้ได้บรรลุนิพพานในเบื้องหน้า
               4. ถ้ามีอุปนิสัยให้บรรลุนิพพานก็ย่อมบรรลุนิพพานในชาตินี้ที่เดียว
               5. ทำหลายอุปกิเลส คือธรรมเครื่องเศร้าหมอง สิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว 16 อย่าง
                    5.1 อภิชฌาวิสมโลกะ คิดเพ่งเล็งอยากได้ ด้วยความโลภอันไม่สมควร   
                    5.2 พยาบาท คิดร้ายต่อคนอื่น 
                    5.3 โกธะ ความโกรธ
                    5.4 อุปปาหะ ความผูกโกรธ
                    5.5 มักขะ ความลบหลู่คุณ ลบหลู่ความดีของคนอื่น การลบล้างคุณความดีของคนอื่นเป็นต้น
                    5.6 ปลาส ความตีเสมอ ยกตัวเท่าท่าน เอาตัวยกว่างไว้ ไม่ยอมให้ใครดีกว่าตน
                    5.7 อิสสา ความริษยา
                    5.8 มัจฉริยะ ความตระหนี่
                    5.9 มายา มารยา   
                    5.10 สาเถยยะ ความโอ้อวด หลอกเขา หลอกด้วยคำโอ้อวด
                    5.11 ถัมภะ ความหัวดื้อ ความกระด้าง
                    5.12 สารัมภะ ความแข่งดี ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จักเอาชนะกัน
                    5.13 มานะ ความถือตัว ความทะนงตน
                    5.14 อติมานะ ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา ความดูหมิ่นคนอื่น
                    5.15 มทะ ความมัวเมา
                    5..16 ปมาทะ ความประมาท ความละเลย ความเลินเล่อ
(พระมหาสมบัติ ฐิติญาโณ, 2548, หน้า 46-47)    
               ประโยชน์ด้านปัญญา ดังมาใน ขุทกนิกาย มหานิทเทส ใจความว่า คำว่าปัญญา ตรัสเรียกว่าโธนา (เครื่องกำจัด) ได้แก่  ความรู้ความรู้ทั่ว ความเลือกเฟ้น ความเลือกเฟ้นทั่ว ความเลือกเฟ้นธรรม ความกำหนัด ความเข้าไปกำหนัด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ความเป็นบัณฑิต ความเป็นผู้ฉลาด ความเป็นผู้มีปัญญารักษาตน ปัญญาเครื่องจำแนก ปัญญาเครื่องคิด ปัญญาเครื่องเข้าไปเห็น ปัญญาอันกว้างขวางดุแผ่นดิน ปัญญาเครื่องกำจัดกิเลส ปัญญาอันนำไปรอบ ปัญญาเครื่องรู้แจ้ง ความรู้สึกตัว ปัญญาเครื่องเจาะแทง ปัญญาเครื่องเห็นชัด ปัญญาเป็นกำลัง ปัญญาเป็นเครื่องกำจัด ล้าง ชำระ ซักฟอก ซึ่งกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่  เป็นต้น
(ขุ.มหา., เล่ม 29, ข้อ 21, หน้า 102-103)
               การเจริญปัญญาก็เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิกำจัดทิฏฐิ มานะออกไปจากตัวตนและให้เกิด ปัญญา ดังในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค คือต้องมีปัญญาเป็นเครื่องชำระศีลให้บริสุทธิ์ไม่มีโทษก็เพราะอาศัยปัญญาเป็นเครื่องควบคุมความประพฤติทั้งทางกาย วาจา ให้ บริสุทธิ์ผุดผ่อง
(ที.สี., เล่ม 9, ข้อ 317, หน้า 191)
               ปัญญาเป็นคุณธรรมอันสูงที่ช่วยส่งเสริมให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้เมื่อพิจารณาสภาวธรรมจนเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วปัญญาก็สามารถตัดกิเลสทั้งปวงได้ อานิสงส์ของปัญญามีดังนี้
               1. เพราะปัญญาความดีทั้งปวงสุกสว่างขึ้นมาได้
               2. เพราะปัญญาทั้งสองชนิด คือโลกิยปัญญากับโลกุตตรปัญญา บุคคลจึงสามารถขึ้นสูงสุดได้
               3. เพราะปัญญาบุคคลจึงสามารถเดินไปสู่อริมรรคและอริยผลคือพระอรหันต์ได้
               4. เพราะปัญญาเป็นดวงธรรมอันยอดเยี่ยม เป็นดวงตาของทุกสิ่ง
               5. เพราะปัญญาบุคคลจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ ผู้ไม่เข้าถึงความบริสุทธิ์เพราะเสื่อมแห่งปัญญา
               6. เพราะปัญญาบุคคลจึงสามารถทำลายมิจฉาทิฐิได้
               7. เพราะปัญญาบุคคลจึงบรรลุธรรมอันเลิศ และถอนรากเหง้าของความชั่วคือ โลภะ โทสะ โมหะ ความเกิด ความตาย และความชั่วร้ายอื่นๆ ซึ่งไม่มีใครเคยถอนมาก่อน
               8. เพราะปัญญาบุคคลจึงสามารถทรงความรู้ทั้ง 3 คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธได้ดี
               9. เพราะปัญญาเป็นพลวปัจจัยให้บุคคลสิ้นภพสิ้นชาติได้
               10. เพราะปัญญาบุคคลจึงไม่ประมาท คือ มีสติ สัมปชัญญะอยู่เสมอ
               ปัญญาเป็นคุณธรรมอันสูงที่ช่วยส่งเสริมให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้เมื่อพิจารณาสภาวธรรมจนเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วปัญญาก็สามารถตัดกิเลสทั้งปวงได้ อานิสงส์ของปัญญามีดังนี้
               1. เพราะปัญญาความดีทั้งปวงสุกสว่างขึ้นมาได้
               2. เพราะปัญญาทั้งสองชนิด คือโลกิยปัญญากับโลกุตตรปัญญา บุคคลจึงสามารถขึ้นสูงสุดได้
               3. เพราะปัญญาบุคคลจึงสามารถเดินไปสู่อริมรรคและอริยผลคือพระอรหันต์ได้
               4. เพราะปัญญาเป็นดวงธรรมอันยอดเยี่ยม เป็นดวงตาของทุกสิ่ง
               5. เพราะปัญญาบุคคลจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ ผู้ไม่เข้าถึงความบริสุทธิ์เพราะเสื่อมแห่งปัญญา
               6. เพราะปัญญาบุคคลจึงสามารถทำลายมิจฉาทิฐิได้
               7. เพราะปัญญาบุคคลจึงบรรลุธรรมอันเลิศ และถอนรากเหง้าของความชั่วคือ โลภะ โทสะ โมหะ ความเกิด ความตาย และความชั่วร้ายอื่นๆ ซึ่งไม่มีใครเคยถอนมาก่อน
               8. เพราะปัญญาบุคคลจึงสามารถทรงความรู้ทั้ง 3 คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธได้ดี
               9. เพราะปัญญาเป็นพลวปัจจัยให้บุคคลสิ้นภพสิ้นชาติได้
               10. เพราะปัญญาบุคคลจึงไม่ประมาท คือ มีสติ สัมปชัญญะอยู่เสมอ
               ปัญญามีความสำคัญและมีประโยชน์ดังมาในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ใจความว่า
               1. ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้แสดงมาแล้ว ชื่อว่า สุตมยปัญญา ความรู้อันสำเร็จมาแต่การฟัง
               2. ปัญญาในการฟังแล้วสำรวมระวัง ชื่อว่า สีลมยญาณ ความรู้อันสำเร็จมาแต่ศีล
               3. ปัญญาในการสำรวมระวังแล้วตั้งใจไว้ดี ชื่อว่า สมาธิภาวนามยญาณ ความรู้อันสำเร็จมาแต่สมาธิ
               4. ปัญญาในการกำหนดปัจจัย ชื่อว่า ธัมมฐิติญาณ ความรู้ในเหตุธรรม
               5. ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ชื่อว่า สัมมสนญาณ ความรู้ในการพิจารณา
               6. ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรปรวนไปแห่งธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน ชื่อว่า อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ความรู้ในการพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไป
               7. ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความดับไป ชื่อว่าวิปัสสนาญาณ ความรู้ในความเห็นแจ้ง
               8. ปัญญาในการปรากฏโดยความเห็นภัย ชื่อว่า อาทีนวญาณ ความรู้ในการเห็นโทษ
               9. ปัญญาคือความเป็นผู้ใคร่จะพ้นไปทั้งพิจารณาและว่างเฉยอยู่ ชื่อว่า ความรู้ในสังขานุเปกขา
               10. ปัญญาในการออกและหลีกไปจากสังขารนิมิตภายนอก ชื่อว่า โคตรภูญาณ ความรู้ในโคตรภู
               11. ปัญญาในการออกและหลีกไปจากกิเลส ขันธ์ และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง ชื่อว่า มัคคญาณ ความรู้ในมรรค
               12. ปัญญาในการระงับประโยชน์ ชื่อว่า ผลญาณ ความรู้ในผล
               13. ปัญญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆตัดได้แล้ว ชื่อว่า วิมุตติญาณ ความรู้ในการหลุกพ้น
               14. ปัญญาในการพิจารณาเห็นธรรมที่เข้ามาประชุมในขณะนั้น ชื่อว่า ปัจจเวกขณญาณ ความรู้ในการพิจารณา
               15. ปัญญาในการกำหนดธรรมเป็นภายใน ชื่อว่า วัตถุนานัตตญาณ ความรู้ในความต่างของวัตถุ
               16. ปัญญาในการกำหนดธรรมเป็นภายใน ชื่อว่า โคจรนานัตตญาณ ความรู้ในความต่างแห่งโคจร
               17. ปัญญาในการกำหนดจริยา ชื่อว่า จริยานานัตตญาณ ความรู้ในความต่างจริยา
               18. ปัญญาในการกำหนดธรรม 4 ชื่อว่า ภูมินานัตตญาณ ความรู้ในความต่างแห่งภูมิ
               19 ปัญญาในการกำหนดธรรม 9 ชื่อว่า ธัมมนานัตตญาณ ความรู้ในความต่างแห่งธรรม
               20. ปัญญาอันรู้ยิ่ง ชื่อว่า ญาตัฏฐญาณ ญาณในความหมายว่ารู้
               21. ปัญญาเครื่องกำหนดรู้ ชื่อว่า ตีรณัฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าพิจารณา
               22. ปัญญาเครื่องละ ชื่อว่า ปริจจาคัฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าสละ
               23. ปัญญาเครื่องเจริญ ชื่อว่า เอกรสัฏฐญาณ ญาณในความหมายว่ามีกิจเป็นอันเดียว
               24. ปัญญาเครื่องทำให้แจ้ง ชื่อว่า ผัสสนัฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าถูกต้อง
               25. ปัญญาในความต่างแห่งอรรถ ชื่อว่า อัตถปฏิสัมภิทาญาณ ความรู้ในความแตกฉานในอรรถ
               26. ปัญญาในความต่างแห่งธรรม ชื่อว่า ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ ความรู้ในความแตกฉานในธรรม
               27. ปัญญาในความต่างแห่งนิรุตติ ความรู้ในความแตกฉานในนิรุตติ
               28. ปัญญาในความต่างแห่งปฏิภาณ ชื่อ ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ ความรู้ในความแตกฉานในปฏิภาณ
               29. ปัญญาในความต่างแห่งวิหารธรรม ชื่อว่า วิหารัฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าธรรมเครื่องอยู่
               30. ปัญญาในความต่างแห่งสมาบัติ ชื่อว่า สมาปัตติฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าวิหารสมาบัติ
               31. ปัญญาในความต่างแห่งวิหารสมาบัติ ชื่อว่า วิหารสมาปัตติฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าวิหารสมาบัติ
               32. ปัญญาในการตัดอาสวะขาดเพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ให้ฟุ้งซ่าน ชื่อว่า อานันตริกสมาธิญาณ ความรู้ในสมาธิอันมีในลำดับ
               33. ทัสสนาธิปไตย (ทัสสนะมีความเป็นอธิบดี) วิหาราธิคม (คุณเครื่องบรรลุหรือวิหารธรรม) อันสงบ และปัญญาในความที่จิตน้อมไปในผลสมาบัติอันประณีต ชื่อว่า อรณวิหารญาณ
               34. ปัญญาในความเป็นผู้ชำนาญด้วยการระงับสังขาร 3 ด้วยญาณจริยา 16 และด้วยสมาธิจริยา 9 เพราะประกอบด้วยพละ 2 อย่าง ชื่อว่า นิโรธสมาปัตติญาณ
               35. ปัญญาแห่งความสิ้นไปแห่งความแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว ชื่อว่า ปรินิพพานญาณ ความรู้ในปรินิพพาน
               36. ปัญญาแห่งความไม่ปรากฏแห่งธรรมทั้งปวง ในการตัดขาดโดยชอบและในนิโรธ ชื่อว่า สมสีฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าธรรมอันสงบและธรรมอันเป็นประธาน
               37. ปัญญาแห่งความสิ้นไปแห่งกิเลสอันหนา สภาพต่างๆสภาพเดียวและเดช ชื่อว่า สัลเลขัฏฐญาณ ญาณในความหมายว่าเครื่องขัดเกล่า
               38. ปัญญาในความประคองไว้ซึ่งจิตอันไม่หดหู่และไม่ส่งไป ชื่อว่า วีริยารัมภญาณ ความรู้ในการปรารภความเพียร
               39. ปัญญาในการประกาศธรรมต่างๆ ชื่อว่า อัตถสันทัสสนญาณ ความรู้ในการเห็นชัดซึ่งอรรถธรรม
               40. ปัญญาในการแทงตลอดการส่งเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกัน ความต่างกัน และความเป็นอันเดียวกันแห่งธรรมทั้งปวง ชื่อว่า ทัสสนวิสุทธิญาณ
               41. ปัญญาคือความรู้แจ้งธรรมทั้งหลายที่ปรากฏโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ชื่อว่า ขันติญาณ ความรู้ในขันติ
               42. ปัญญาในความถูกต้องธรรม ชื่อว่า ปริโยคาหนญาณ ความรู้ในความย่างเข้าไป
               43. ปัญญาในการรวมธรรม ชื่อว่า ปเทสวิหาร ญาณวิหารธรรมส่วนหนึ่ง
               44. ปัญญาในความเป็นกุศลธรรมเป็นอธิบดี ชื่อว่า สัญญาวิวัฏฏญาณ ความรู้ในปัญญาที่หลีกออกด้วยปัญญา
               45. ปัญญาในธรรมเป็นเหตุหลีกออกจากความต่าง ชื่อว่า เจโตวิวัฏฏญาณ ความรู้จากการหลีกออกจากนิวรณ์ด้วยใจ
               46. ปัญญาในการอธิฐาน ชื่อว่า จิตตวิวัฏฏญาณ ความรู้แห่งความหลีกไปแห่งจิต
               47. ปัญญาในธรรมอันว่างเปล่า ชื่อว่า ญาณวิวัฏฏญาณ ความรู้ในความหลีกไปด้วยญาณ
               48. ปัญญาในความสลัดออก ชื่อว่า วิโมกขวิวัฏฏญาณ ความรู้ในการหลีกไปแห่งจิตด้วยวิโมกข์
               49. ปัญญาในความหมายว่าจริง ชื่อว่า สัจจวิวัฏฏญาณ ความรู้ในความหลีกไปด้วยสัจจะ
               50. ปัญญาในความสำเร็จด้วยการกำหนดกาย (รูปของตน) และจิต (จิตมีญาณเป็นบาท) และด้วยสามารถแห่งความตั้งไว้ซึ่งสุขสัญญา (สัญญาประกอบด้วยอุเบกขาในจตุตถฌานอันละเอียด) และลหุสัญญา (สัญญาเบา เพราะพ้นจากนิวรณ์และปฏิปักขธรรม) ชื่อว่า อิทธิวิธญาณ ความรู้ในการแสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
               51. ปัญญาในการกำหนดเสียงเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียวด้วยสามารถการแผ่วิตกไป ชื่อว่า โสตธาตุวิสุทธิญาณความรู้อันหมดจดแห่งโสตธาตุ
               52. ปัญญาในการกำหนดจริยาคืออย่างเดียวด้วยความแผ่ไปแห่งจิต 3 ประเภท และด้วยสามารถแห่งความผ่องใสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ชื่อว่า เจโตปริยญาณ ความรู้ในการกำหนดรู้จิตผู้อื่นได้ด้วยจิตของตน
               53. ปัญญาในการกำหนดธรรมทั้งหลายอันเป็นไปตามปัจจัยด้วยสามารถความแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรืออย่างเดียว ชื่อว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้เป็นเครื่องระลึกชาติก่อนๆได้
               54. ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่างหรืออย่างเดียวด้วยสามารถแสงสว่าง ชื่อว่า ทิพพจักขุญาณ ความรู้ในทิพยจักษุ
               55. ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ 3 ประการโดยอาการ 64 ชื่อว่า อาสวักขยญาณ ความรู้ในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
               56. ปัญญาในอรรถว่าเป็นสิ่งควรกำหนดรู้ ชื่อว่า ทุกขญาณ ความรู้ในทุกข์
               57. ปัญญาในอรรถว่าเป็นสิ่งควรละ ชื่อว่า สมทยญาณ ความรู้ในสมุทัย
               58. ปัญญาในอรรถว่าเป็นสิ่งควรทำให้แจ้ง ชื่อว่า นิโรธญาณ ความรู้ในนิโรธ
               59. ปัญญาในอรรถว่าเป็นสิ่งควรเจริญ ชื่อว่า มัคคญาณ ความรู้ในมรรค
(ขุ.ปฏิ., เล่ม 31, ข้อ 1, หน้า 1-8) 
               สรุปประโยชน์ของแนวคิดเรื่องธุระในพุทธปรัชญานั้นมีประโยชน์และอานิสงส์มากมายซึ่งประโยชน์นั้นทำให้เกิดแรงจูงใจให้ศึกษาปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดความประพฤติและการปฏิบัติมุ่งตรงต่อสัจธรรมเพื่อข้ามพ้นทุกข์ทั้งปวงได้ผู้วิจัยได้สรุปประโยชน์และอานิสงส์ของหลักธุระในพุทธปรัชญาเถรวาทได้ด้งนี้
               1. รู้หลักปฏิบัติตนตามพระวินัยที่บัญญัติเป็นข้อประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ
               2. สามารถประพฤติปฏิบัติตนตามหลักฐานะของตนได้ถูกต้องเหมาะสม
               3. สามารถประพฤติปฏิบัติตนได้ตามหลักหน้าที่ของตนได้ถูกต้องเหมาะสม
               4. สามารถประพฤติปฏิบัติตนได้ตามหลักสถานภาพของตนได้ถูกต้องเหมาะสม
               5. สามารถประพฤติปฏิบัติตนได้ตามหลักบทบาทของตนได้ถูกต้องเหมาะสม
               6. สามารถเข้าใจหลักธรรมวินัยได้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
               7. เป็นแบบอย่างของการศึกษาให้แก่สังคม
               8. เป็นแบบอย่างด้านการประพฤติปฏิบัติให้แก่สังคม
               9. เป็นแบบอย่างของการใช้สอยปัจจัย 4 ตามความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด
               10. เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขในปัจจุบันและอนาคต
               11. ทำให้มีสติ สัมปชัญญะ ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
               12. ทำให้เกิดสมาธิจิตที่มั่นคงตั้งมั่นในอารมณ์ที่ใช้ภาวนา
               13. เป็นบาททางในการเจริญปัญญา เพื่อความรู้แจ้งสัจธรรมตามความเป็นจริง
               14. ทำให้เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
               15. ทำให้เกิดปัญญาเห็นอริสัจ 4ชัดเจนแจ่มแจ้ง
               16. สามารถตัดกิเลสเครื่องมัดสัตว์ให้ติดอยู่ในภพชาติได้
               17. สามารถเข้าถึงบรมสุขคือพระนิพพานได้
               18. ช่วยรักษาหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่และสร้างความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
               19. ช่วยเผยแผ่หลักคำสอนทางพุทธปรัชญาเถรวาทให้แก่ผู้มีศรัทธาใคร่ศึกษาปฏิบัติตาม
               20. ส่งเสริมให้เกิดความศรัทธาแก่ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาในพุทธปรัชญาเถรวาท
               21. สามารถดับทุกข์ได้ทั้งปัจจุบันและในอนาคต
               22. ส่งเสริมความศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยให้ตั้งมั่นยิ่งขึ้น
               23. ส่งเสริมให้เกิดสมาธิทั้ง 3 ระดับ คือ ขณิกสมาธิ อุปาจรสมาธิ อัปปนาสมาธิ
               24. ส่งเสริมให้เกิดปัญญา 3 ระดับ คือ สุตมยปัญญา จิตตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
               25. ทำให้ได้อริยมรรคตามกำลัง สติปัญญา และ ความเพียรของตน
               26. ทำให้ได้อริผลตามกำลัง สติปัญญา และ ความเพียรของตน
               27. ทำให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเข้าถึงบรมสุขได้
               28. ทำให้ละอัตตาของตนได้
               29. กำจัดอวิชาออกจากตนได้


ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]





<< หน้าแรก

This page is powered by Blogger. Isn't yours?

สมัครสมาชิก บทความ [Atom]