วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ญาณวิทยา ((Epistemology)
ญาณวิทยา ((Epistemology)
ญาณวิทยา คือทฤษฎีความรู้ (theoyof knowedge) ที่ศึกษาว่าเรารู้ความจริงได้อย่างไร ดังนั้น
ญาณวิทยา จึงสัมพันธ์กับอภิปรัชญา
ญาณวิทยาตอบปัญหาว่าด้วยบ่อเกิดความรู้และมาตรการสำหรับตัดสินความถูกผิดของความรู้
นักปรัชญาตะวันตกกล่าวถึงที่มาและบ่อเกิดของความรู้ไว้
๓ ทางคือ
๑) ผัสสาการ
(Sensation)
คือความรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัสทั้งห้า
คือ การเห็น การได้ยิน
การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัส
๒) เหตุผล
(Reason)
คือความรู้ที่เกิดจากการคิดตามหลักเหตุผลในใจ
๓) อัชฌัตติกญาณ
(Intuition) คือ ความรู้ผุดขึ้นในใจโดยตรง ถ้าเป็นความรู้จากญาณวิเศษเรียกว่า การตรัสรู้
(Enlightenment)
ถ้าเป็นความรู้ที่ได้จากการดลใจของพระเจ้าเรียกว่า วิวรณ์
(Revelation)
ปัญหาที่ตามมาก็คือว่า บ่อเกิดของความรู้ทางไหนเล่าจึงให้ความรู้ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ในเรื่องนี้
นักปรัชญามีความเห็นแตกกันเป็น
๓ กลุ่มใหญ่ๆ
๑) ลัทธิประสบการณ์นิยม ( Empiricism) ถือว่าประสาทสัมผัสเป็นมาตรการการตัดสินใจ
๒) ลัทธิเหตุผลนิยม (Rationalism) ถือว่าเหตุผลเป็นมาตรการตัดสินใจความจริง
๓) ลัทธิอัชฌัตติกญาณนิยม (Intuitionism) ถือว่าอัชฌัตติกญาณเป็นมาตรการตัดสินใจ
ญาณวิทยา
ในทัศนะของเอปิคิวรุส
ปรัชญามีเป้าหมายที่ช่วยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข มนุษย์มีความทุกข์ เพราะกลัวเทพเจ้า กลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น
ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และกลัวความตาย ปรัชญาต้องปลดเปลื้องมนุษย์จากความกลัวเหล่านี้ เอปิคิวรุสเห็นว่า ความกลัวเกิดจากความโง่เขลา ไม่รู้เท่าความเป็นจริง ญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้มีส่วนสำคัญในการช่วยให้มนุษย์รู้ความจริงได้ เมื่อมนุษย์รู้ความจริง ความกลัวต่างๆก็หมดไป เมื่อปราศจากความกลัว จิตใจมนุษย์จะมีความสุขขึ้นมาก
ดังนั้น
ญาณวิทยาขิงเอปิคิวรุสจึงมีไว้เสริมจริยศาสตร์นั่นเอง ญาณวิทยาเสนอเกณฑ์หรือมาตรการการตัดสินว่า ความรู้ใดจริงหรือเท็จ เพื่อให้มนุษย์ค้นพบความจริงที่แท้ แล้วจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป โดยนัยนี้
เอปิคิวรุสเสนอเกณฑ์ตัดสินความจริงไว้
๓ ประการคือ
๑) สัญชาน
(Perception) คือ ความรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่
ตา หู จมูก
ลิ้น และผิวกาย เป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงที่สำคัญที่สุด ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้ “ถ้าท่านปฏิเสธประสาทสัมผัสทั้งหมด
ท่านจะไม่มีมาตรฐานหรือวิธีการอื่นใดเหลือไว้พิสูจน์ว่าประสาทสัมผัสเหล่านั้นผิดพลาดอย่างไร” สัญชานเป็นเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่รองรับการตัดสินด้วยวิธีอื่นๆแม้แต่การใช้เหตุผลก็ต้องอิงอาศัยข้อมูลจากสัญชานหรือประสาทสัมผัส ถ้าข้อมูลผิดพลาด การวินิจฉัยด้วยเหตุผลก็ผิดพลาดไปด้วย
สัญชานจึงเป็นมาตรการตัดสินความจริงที่สำคัญที่สุด เพราะมันให้ความรู้ที่แท้จริงแก่เรา คำถามที่ตามมาก็คือว่า ถ้าสัญชานให้ความรู้ที่แท้จริงเสมอ
เหตุใดจึงเกิดภาพลวงตาและการรับรู้ผิดๆอย่างอื่น เอปิคิวรุสตอบว่า ความผิดพลาดในกรณีนี้ไม่ได้เกิดในระดับสัญชาน แต่เกิดในระดับการวินิฉัยตัดสินต่างหาก เช่น
ในกรณีของการเห็นเชือกเป็นงู ภาพที่ปรากฏเป็นความจริงในระดับตนเอง
แต่พอตัดสินยืนยัยว่า
นั่นเป็นงูความผิดพลาดเกิดตรงนี้
ทัศนะของเอปิคิวรุสได้ปูทางให้กับประสบการณ์นิยม (Empiricism) ซึ่งแพร่หลายในปรัชญาสมัยใหม่
๒) มโนภาพ
(Concepts)
หมายถึงภาพที่เกิดในใจซึ่งป็นตัวแทนของสิ่งเฉพาะหลายสิ่งในประเภทเดียวกัน
สิ่งเฉพาะเหล่านี้มีลักษณะบ้างอย่างคล้ายกัน เช่น
มโนภาพของสุนัขเป็นมโนภาพทั่วไปที่เป็นตัวแทนของสุนัขทั้งหมด
พลาโต้ถือว่ามโนภาพเป็นสิ่งสากลที่มีอยู่จริงภายนอกจิตที่รับรู้และเรียกมันว่าแบบหรือมโนคติ แต่เอปิคิวรุสเห็นว่ามโนภาพเกิดจากความคิดรวบยอด
ภายหลังจากรับรู้สิ่งเฉพาะหลากหลายก็สรุปเอาลักษณะร่วมของสิ่งเหล่านั้นมาเป็นมโนภาพ
เอปิคิวรุสถือว่ามโนภาพให้ความรู้ที่แท้จริงได้เช่นกัน
ทัศนะมโนภาพของเอปิคิวรุสมีส่วนคลายกับนามนิยม
(Nominalism) ในปรัชญาสมัยกลาง
๓) เวทนา
(Feelings) หรือความรู้สึกสุขและทุกข์ เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจว่า ควรหรือไม่ควรทำอะไร นั่นคือ
ถ้าเรื่องใดก่อให้เกิดความสุข
เควรเลือกทำเรื่องนั้น
ถ้าเรื่องใดก่อให้เกิดความทุกข์
เราควรตัดสินใจงดเว้นการทำเรื่องนั้น
เอปิคิวรุสสรุปเรื่องญาณวิทยาไว้ว่า
“เกณฑ์สำหรับตัดสินความจริงก็คือ ประสาทสัมผัส
มโนภาพ และเวทนา
ทฤษฎีความรู้ของโสคราตีส
โสคราตีสถือว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ ในปรัชญาของโสคราตีส เหตุช่วยให้ค้นพบมโนภาพ เราได้ทราบจากคำอธิบายใน มโนภาพคือความรู้จักสิ่งสากล ดังนั้นความรู้ขั้นมโนภาพจึงเป็นความรู้เกี่ยวกับสิ่งสากลที่ทุกคนยอมรับ ที่ใช้คำว่า
ทุกคนยอมรับ
เพราะมนุษย์ทุกคนมีเหตุผล เมื่อทุกคนใช้เหตุผลค้นพบมโนภาพของสิ่งสากลอันใด มโนภาพของสิ่งสากลนั้นย่อมจะตรงกัน สิ่งสากลความรู้จึงเป็นความจริงมาตรฐาน ที่ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงได้เหมือนๆกันความรู้จึงไม่ใช้ทัศนะอัตนัย โสคราตีสเห็นว่า ความรู้จึงเป็นการค้นพบความจริงแบบปรนัย หรือการเข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลาย
ปัญหาทางการปฏิบัติที่เกิดขึ้นก็คือ
ทำอย่างไรเราจึงจะค้นพบมโนภาพของสิ่งทั้งหลาย คำตอบของโสคราติสมีอยู่ว่า เราจะค้นพบมโนภาพสิ่งใดก็โดยอาศัยการสร้างคำจากคำจำกัดความ (Definition) เมื่อเราต้องการสร้างคำจำกัดความของสิ่งใด นั่นแสดงว่า
เรากำลังหาลักษณะสากลของสิ่งนั้น
เช่น การสร้างคำจำกัดความของ สุนัข เราจะรวมเอาลักษณะร่วมที่สุนัขทุกตัวทุกประเภทมีเหมือนกันเข้ามาไว้ในคำจำกัดความ
แต่เราจะกันลักษณะที่แตกต่างของสุนัขแต่ละตัวออกไปเสีย
คำจำกัดความที่ได้มาจะครอบคลุมประเภทของสุนัขทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไหนก็ตาม ล้วนแต่เป็นสุนัข
ตามคำจำกัดความที่เราสร้างขึ้น
เหตุนั้นลักษณะสุนัขที่เราบรรยายในคำจำกัดความจึงเป็นลักษณะของสุนัขสาลกที่ไม่เจาะจงถึงสุขตัวใดตัวหนึ่งพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่ง ภาพของสุนัขที่มีอยู่ในใจจึงเป็นมโนภาพ เราจึงกล่าวได้ว่า มโนภาพกับคำจำกัดความเป็นสิ่งเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
มโนภาพเป็นความรู้จักสิ่งสากลที่ยังอยู่ในใจ แต่คำจำกัดความเป็นการบรรยายลักษณะของสิ่งสากลนั้นออกมาเป็นคำพูด
ในปรัชญาของโสคราตีส ความรู้คือการรู้จักมโนภาพของสิ่งทั้งหลายเราค้นพบมโนภาพของสิ่งต่างๆได้โดยอาศัยกรรมวิธีของการสร้างคำจำกัดความ ดังนั้น
เมื่อโสคราตีสต้องการความรู้เกี่ยวกับเรื่องใด
ท่านจะข้อให้คนสร้างคำจำกัดความเกี่ยวกับเรื่องนั้น ท่านจะตั้งปัญหาถามคนทั่วไปว่า คุณธรรมคืออะไร ความยุติธรรมคืออะไร ความงามคืออะไร แล้วท่านเริ่มการสนทนาแบบถาม –
ตอบเพื่อหาคำจำกัดความที่ถูกต้องของเรื่องเหล่านั้น โสคราตีสเชื่อว่าทุกคนมีมโนภาพเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายอยู่แล้ว
ท่านเพียงทำหน้าที่กระตุนให้คนอื่นคิดอย่างมีระบบและเฉียบแหลมพอที่จะจับมโนภาพที่ชัดเจนของสิ่งทั้งหลาย ท่านไม่ได้ยัดเยีบดความรู้ใหม่ให้แก่คนอื่น งานของท่านจึงคลายกับอาชีพหมอตำแย ท่านเรียกงานของท่านว่า “การผดุงครรภ์ทางปัญญา (Intellectual Midwifery)” เทคนิคการผดุงครรภ์ของท่านมีชื่อเรียกว่า “วิธีของโสคราตีส (Socratic Method)
วิธีการของโสคราตีส
วิธีการของโสคราตีสคือ
ศิลปะการสนทนาที่โสคราตีสใช้ประคับประคองการสนทนาให้ดำเนินไปสู่คำตอบของปัญหาที่กำลังอภิปรายกัน วิธีนี้มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า “วิภาษวิธี
(Dialectic) ซึ่งประกอบด้วยลักษณะสำคัญ ๕
ประการคือ
๑) สงสัย
(Sceptical)
โสคราตีสเริมการสนทนาโดยการยกย่องคู่สนทนาว่า
เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ท่านเองก็ไคร่รู้อยู่พอดี เนื่องจากท่านไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ท่านจึงข้อให้เขาช่วยตอบคำถามของท่านเกี่ยวกับเรื่องนั้น
การออกตัวทำนองนี้ถือกันว่าเป็นการถ่อมตัวของนักปรัชญาผู้มีวิจารณ์ว่า นั่นเป็นการเสแสร้งของโสคราตีส (Socratic Irony)
๒) การสนทนา
(Conversational) จากนั้นโสคราตีสก็เป็นฝ่ายตั้งปัญหาให้คู่สนทนาตอบ
การสนทนาจึงมีลักษณะเช่นเดียวกับเทศน์ปุจฉา -
วิสัชนา คู่สนทนาจะต้องหาคำจำกัดความของหัวข้อที่สนทนากัน
โสคราตีสจะวิจารณ์ว่า
คำจำกัดความนั้นมีข้อบกพร่องทางไหนบ้าง
อีกฝ่ายหนึ่งจะเสนอคำจำกัดความใหม่ที่รัดกุมกว่า โสคราตีสจะขัดเกลาคำจำกัดความนั้นอีก การสนทนาจะดำเนินไปอย่างนี้ จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะได้คำจำกัดความที่น่าพอใจ
๓) หาคำจำกัดความ
(Definitional)
จุดมุ่งหมายของการสนทนาจึงอยู่ที่การหาคำจำกัดความที่ถูกต้องของสิ่งใด นั่นแสดงว่า
เราพบความจริงแท้เกี่ยวกับสิ่งนั้น
ซึ่งเป็นเดียวกับการค้นพบมโนภาพของสิ่งนั้นนั่นเอง
๔) อุปนัย
(Inductive)
การสร้างคำจำกัดความจะเริ่มจากสิ่งเฉาพะไปหาสิ่งสากล เช่น
เมื่อคำจำกัดความของความดี
โสคราตีสและคู่สนทนาจะพิจารนาตัวอย่างจากความประพฤติชนิดต่างๆในสังคม แล้วดึงเอาลักษณะที่เป็นแก่น หรือเป็นสากล
เอามาสร้างเป็นคำนิยาม
๕) นิรนัย
(Deductive)
คำจำกัดความที่มีผู้เสนอมาจะถูกพิสูจน์โดยการนำไปเป็นมาตราการการวัดสิ่งต่างๆว่ามีลักษณะร่วมกับลักษณะที่ระบุไว้ในคำจำกัดความนั้นหรือไม่ เช่น
ถ้าเราได้คำจำกัดความของความดีมาเราก็ตรวจสอบดูว่า การทำทานหรือการปราบปรามโจรผู้ร้าย
จัดเป็นความดีตามคำจำกัดความที่เราตั้งไว้หรือไม่อย่างไร
เดมอคริตุส
เดทอคริตุสแบ่งความรู้ออกเป็น ๒
ประเภท คือ ความรู้เทียมกับความรู้แท้ ความรู้ประเภทแรกเกิดจากประสาทผัส เช่น
การเห็นภาพ (Images) ของตัวเองกระจายออกไปรอบด้าน เมื่อเราผ่านเข้าใกล้วัตถุนั้น ภาพเหมือนจะกระทบเข้ากับวัตถุตาของเรา ประสาทตารายงานไปยังปรมาณูวิญญาณที่ทำหน้าที่เห็นภาพขณะนั้นการเห็นจึงเกิดขึ้น
หากบังเอิญว่าในเวลาที่ภาพเหมือนแล่นภาพอากาศเข้ากระทบประสาทตา ปรากฏมีภาพเหมือนของวัตถุอื่นเข้าแทรกซ้อน การเห็นจะสับสนกลายเป็นภาพลวงตา
เดมอคริตุสกล่าวว่า
ความรู้ระดับผัสสะนี้เป็นความรู้เทียมเพราะผัสสะบิดเบือนข้อเท็จจริงของโลกภายนอก ตัวอย่างเช่น
ตวงตารายงานแก่เราว่า
มีวัตถุสีขาวอยู่ตรงหน้า
สมมุติว่าเป็นสตรีสวมเสื้อสีขาว
ประสาทหูรายงานว่าเธอพูดกับเราด้วยเสียงอันไพเราะ จมูกของเราได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆเสียด้วย เราเชื่อสนิทว่า สี
เสียง และกลิ่น เหล่านั้น
มีอยู่จริงต่อหน้าเรา
เดมอคริตุสตั้งปัญหาว่า สี เสียง
และกลิ่นเหล่านั้นมาจากที่ใด
ไม่ใช้จากสตรีที่อยู่เบื้องหน้าเราอย่างแน่นอน เพราะสตรีอยู่เบื้องหน้าเรานั้น
แท้จริงเป็นเพียงกองปรมาณูเนื่องจากปรมาณูเป็นสิ่งไม่มีกลิ่นและรส ดังนั้นวัตถุในโลกทั้งหมดจึงไร้สี กลิ่น
และรสไปด้วย สี กลิ่น
และรสเป็นสิ่งที่เราสร้าวขึ้นมาหลังจากที่ภาพเหมือนของวัตถุมากระทบประสาทสัมผัสของเรา คุณภาพเหล่านี้คือสิ่งที่นักปรัชญายุคต่อมาเรียกว่า คุณภาพทุติยภูมิ คุณภาพทุติยภูมิไม่ได้มีอยู่จริงในวัตถุ การรับรู้
สี เสียง และกลิ่นเหล่านั้น จึงเป็นความรู้เทียม
ความรู้ที่แท้จะต้องเป็นความรู้เกี่ยวกับปรมาณูตามที่เป็นจริง คือรู้คุณภาพปฐมภูมิของปรมาณูว่า มันมีรูปร่าง
ขนาด และน้ำหนักเท่านั้น แต่เราไม่สามารถที่จะเห็นปรมาณู เพราะปรมาณูเล็กมาก
เราเพียงแต่คิดถึงความมีอยู่ของปรมาณูด้วยเหตุผล (Reason) ดังนั้น
ความรู้แท้ถึงความรู้จริงเรื่องปรมาณูจึงเกิดขึ้นจากความคิดที่มีเหตุผล ความรู้แท้เป็นความรู้ระดับเหตุผล ไม่ใช้ระดับผัสสะ
เดมอคริตุสจึงให้ความสำคัญกับเหตุผลมากกว่าผัสสะ
บางท่านถึงกับเรียกเดมอคริตุสว่าเป็นนักเหตุผลนิยม (Rationlist)
ทฤษฎีความรู้ของพลาโต้
ก่อนจะศึกษาทฤษฎีมโนคติ
ขอให้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีความรู้ของเพลโตกันก่อน ทั้งนี้เพราะในเรื่องเกี่ยวกับความรู้นี้ พลาโต้มีทัศนะบางอย่างคล้ายกับทัศนะของโสคราตีสผู้เป็นอาจารย์ของตน ประการแรกทีเดียว พลาโต้เห็นว่า
ความรู้ระดับผัสสะ หรือ สัญชาน ไม่ใช่
ความรู้
การรับรู้ในระดับสัญชานเป็นเพียงทัศนะ
การปฏิเสธสัญชานว่าเป็นบ่อเกิดความรู้นี้
มีเหตุผลอยู่ ๒ ประการคือ
๑) สัญชานของแต่ละคนให้ความรู้ไม่ตรงกัน
หรือแม้สัญชานของคนคนเดียวก็รายงายข้อมูลต่างกันในเวลาต่างกัน ความรู้ระดับสัญชานจึงเป็นเพียงทัศนะส่วนตัว
๒) สัญชานไม่ช่วยให้เราค้นพบความจริงแท้ เพราะสิ่งที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสเป็นเพียงสิ่งเฉพาะ พลาโต้กล่าวว่าความจริงแท้เป็นสิ่งสากล เช่น
คนสากล แมงสากล อันอยู่ในโลกแห่งมโนคติ จึงเป็นการเหลือวิสัยที่สัญชานจะรับรู้ได้
สมัครสมาชิก บทความ [Atom]
แสดงความคิดเห็น